Friday, June 03, 2005

ธรรมเนียมริมจอกชา

ประเทศจีนและประเทศไทยนั้นมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน ไม่เคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันจนเสียเลือดเนื้อ คนไทยกับคนจีนจึงเปรียบเสมือนพี่น้องกัน

ถึงแม้วัฒนธรรมไทยจะได้รับอิทธิพลจากอินเดียมามากกว่าจากจีน แต่ขนบธรรมเนียมของจีนดูเหมือนจะมีลักษณะใกล้เคียงกับของไทยมาก ถึงแม้อาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็สามารถทำความเข้าใจกันได้โดยไม่ยาก

ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่เราๆท่านๆพึงจะศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีจีนไว้บ้าง นอกจากเหตุผลทางเศรษฐกิจแล้ว ผมคิดว่าท่านผู้อ่านร้อยทั้งร้อยต้องรู้จักคนจีนบ้าง ทั้งเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนในมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังจีบสาวจีนอยู่ การเรียนรู้วิถีแบบจีนไว้จักเป็นประโยชน์มาก ใช่หรือเปล่าครับคุณ kazamatsuri

ผมคงไม่ไปค้นคว้าอะไรเป็นพิเศษ เพราะว่ามีบทความดีๆหลายอันที่เกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมจีนเขียนโดยนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ผมจึงขออนุญาตนำบางส่วนของบทความเรื่อง “ธรรมเนียมริมจอกชา” เขียนโดยคุณหลิน วริษฐ์ หรือคุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล จากคอลัมน์จากโลกคนละซีกในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2546 มาให้ท่านผู้อ่านอ่านกัน
บทความมีดังนี้ครับ

สัปดาห์นี้ผมก็มีเรื่องธรรมเนียมของคนจีนมาเล่าสู่กันฟังเช่นกัน แต่แน่นอนว่าผมจะไม่เล่าว่า ต้องกล่าวทักทายด้วยคำว่า “หนีห่าว” ขอบคุณด้วยคำว่า “เซี่ยเซี่ย” หรือกล่าวคำอำลาด้วยคำว่า “ไจ้เจี้ยน” เพราะนั่นหาเอาที่ไหนก็ได้ แต่จะเล่าถึงเรื่องชีวิตประจำวันที่เรามักพบและได้ใช้ไปประจำ คือ “ธรรมเนียมการทักทายและรับแขกของชาวจีน

คนไทยทักทายกันด้วยการไหว้ คนญี่ปุ่นอาจจะเป็นการโค้ง โค้งแล้วโค้งอีก ส่วนคนจีนนั้นก็เหมือนกับชาวตะวันตก เป็นการเช็กแฮนด์ หรือจับมือ (โว่โส่ว)

อย่างไรก็ตามการจับมือแบบชาวจีนนั้นก็มีขนบ คือในการทักทายแบบปกติ ผู้ชายจะต้องให้ผู้หญิงยื่นมือมาก่อน ผู้ชายจึงจะยื่นมือไปจับได้ ขณะที่ผู้ที่มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิด้อยกว่า ก็ต้องรอให้ผู้ที่มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิสูงกว่ายื่นมือมาก่อน ขณะที่หากคุณเป็นเจ้าของบ้าน หากมีแขกมาก็ต้องยื่นมือไปจับมือแขกก่อน แต่เวลาแขกจะกลับ ก็ต้องรอให้แขกยื่นมือมาก่อน มิฉะนั้นจะเปรียบเสมือนว่า เป็นการไล่แขกให้รีบกลับได้

ส่วนที่เห็นเขาจับมือกันแนบแน่นสองมือ ก็เอาไว้ใช้เฉพาะเวลาเพื่อนสนิทกับเพื่อนสนิทพบกันเท่านั้น หากพึ่งรู้จักกัน หรือพึ่งพบหน้ากันครั้งแรก จับกันมือเดียวก็พอ

เมื่อจับมือกันแล้ว เชิญแขกเข้ามาในบ้านแล้ว คนจีนปกติจะ “เชียร์แขก” เอ๊ย “รับแขก” ด้วยเครื่องดื่มยอดนิยมเป็น “ชา” จะเป็นชาเขียว ชาแดง ชาดอกไม้ หรือชาอะไรก็แล้วแต่ฐานะ แต่ที่สำคัญก็คือ “วิธีการรินชา”

การรินชาให้แขกของชาวจีนนั้นจะต้องรินประมาณ “ค่อนจอก” การรินชาให้ “เต็มจอก” นั้นเป็นสัญญาณที่บอกว่าเจ้าบ้านไม่รับแขก เนื่องจากตามลักษณะของจอกชา หากรินให้เต็มจอกจะยากแก่การยกดื่ม แม้กระนั้นการรับแขกด้วยชาก็มิใช่เห็นว่าแขกอาจจะคอแห้ง เติมชาแล้วเติมชาอีก เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า “รีบๆกลับไปได้แล้ว”

หากคนจีนเชิญแขกมาที่บ้านโดยปกติแล้วจะต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ หรือทันยุคทันสมัยหน่อยก็อาจจะเป็นไวน์ตั้งอยู่บนโต๊ะด้วย

ธรรมเนียมการรินเหล้านั้น ควรจะรินให้เต็มแก้ว ตรงข้ามกับการตักข้าวให้แขก ที่ไม่ควรตักให้พูนถ้วยมากนัก เนื่องจากการตักให้พูนเกินไปนั้นอาจแปลความหมายได้ว่า ไม่อยากให้แขกเติมข้าวถ้วยที่สอง

โดยมากแล้ว ในการเตรียมกับข้าวรับแขกของชาวจีน เจ้าบ้านมักจะเตรียมให้บนโต๊ะมีกับข้าวที่หลากหลาย ทั้งเนื้อ ผัก และมีรสชาติที่สมดุล คือมีทั้งรสจัด-ไม่จัด เปรี้ยว-หวาน และที่สำคัญคือควรมีกับข้าวเป็นจาน “ปลา” อย่างน้อย 1 จาน และถ้าหากโต๊ะกินข้าวไม่ใช่โต๊ะจีนกลมมีถาดหมุนอยู่ตรงกลาง เจ้าบ้านมักจะหันหัวปลาเข้าหาแขก

แม้ปักกิ่งหรือในแถบเมืองที่ไม่ติดแม่น้ำ ติดทะเล แม้ปลาจะราคาแพง แต่ถ้าไปงานเลี้ยงก็มักจะพบกับอาหารปลาวางอยู่บนโต๊ะอาหารเสมอ เนื่องจากปลา ในภาษาจีนออกเสียงว่า “อวี๋(魚)” ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่า เหลือกินเหลือใช้…(余 และเป็นแซ่ของผมเองครับ ภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า อะมะรุ)* ทั้งนี้เจ้าบ้านก็ต้องจำไว้ด้วยว่า ห้ามกินเสร็จก่อนแขก หรือปล่อยให้แขกโซ้ยอยู่อย่างเดียวดาย

จบพิธีการสนทนาควบคู่ไปกับการเติมท้องให้อิ่ม ถึงเวลาแขกกลับบ้าน คนจีนตั้งแต่สมัยโบราณ หากใครอ่านนิยายกำลังภายใน คงจำได้ว่าเวลาเหล่าจอมยุทธ์ส่งแขก บางทีอาจเดินไปส่งกันเป็น 5 ลี้ 10 ลี้ (แล้วใช้วิชาตัวเบา เหาะกลับบ้าน)

นิยายก็บ่งชี้ธรรมเนียมของขาวจีนได้เช่นกันคือ ต้องส่งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้คนธรรมดาอย่างเราๆ คงไม่ต้องถึงขนาดเดินส่งกันขนาดนั้น (เพราะคงไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี) แต่หากเป็นผู้สูงอายุ หรือคนสำคัญก็ต้องไปส่งถึงประตูรถ อาจจะขึ้นรถแท็กซี่หรือรถประจำทางก็แล้วแต่ หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องส่งที่หน้าประตูบ้าน ทั้งนี้ต้องส่งให้แขกลับมุมตึก หรือลับสายตาไปเสียก่อน จึงจะปิดประตูเข้าบ้านได้

ดูจะจุกจิกหน่อย แต่ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ... ไว้วันหลังมีอะไรน่าสนใจผมก็จะเอามาฝากกันอีก

“ส่งแขก...!!!”

* ข้อความในวงเล็บนั้นผมเขียนเพิ่มเติมเอาเอง

3 Comments:

At 11:14 PM, Blogger Steelers(钢人) said...

อันนี้กระผมเองก็จนด้วยปัญญาครับ เพราะที่มีอยู่ที่ก็ไทยแท้เลย แต่ถ้าหาอะไรเทือกนั้นมาได้ เดี๋ยวจะบอก

 
At 6:57 PM, Anonymous Anonymous said...

Hello krub,

Good blog krub, very interesting :)

 
At 8:49 AM, Anonymous Anonymous said...

มาเเล้วววว เยี่ยมๆ น่าสนใจ เเต่ไม่เห็นจะเหมือนนายเลย หนุ่มรถไฟ ไรนั้น
เออ เราเเจกลิ้ง เราผิดหวะ มันจะไม่อัปเดต อะอันนั้น
เเก้หน่อยๆ
http://www.dekkansai.com/index.php?ind=blog&op=home&idu=19

 

Post a Comment

<< Home