Sunday, June 12, 2005

คิดถึงญี่ปุ่น

ได้ฤกษ์เสียที่ครับในการอัพบล๊อกของผม ก็ต้องขอโทษคนที่รออ่านบล๊อกของผม(ที่มีอยู่น้อยนิด)ด้วยนะครับ ที่ผมหายหน้าหายตาไปนานสิบกว่าวัน เป็นสิบวันที่ค่อนข้างยุ่งมากครับ เพราะต้องทำอะไรหลายอย่างนับตั้งแต่ทำวีซ่าอเมริกา ปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาล เข้าไปนั่งฟังเลคเชอร์โครงการปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ ม.ธ. และพาโฮสต์คนญี่ปุ่นไปเที่ยว

สิบวันที่ผ่านไปนี้ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายครับ ทำวีซ่าอเมริกาเหนื่อยมาก ไปสถานฑูตมาสี่ครั้งแล้ว เหลืออีกสองครั้งถึงจะได้วีซ่า ปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะ เรียน M.A. ที่ธรรมศาสตร์ก็ยากแสนเข็น แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ก็คงจะหนีไม่พ้น การที่ได้มีโอกาสเจอคนญี่ปุ่นอีกครั้ง

คนญี่ปุ่นที่มาเมืองไทยครั้งนี้เป็นผู้ที่มีบุญคุณกับผมมากตอนที่ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น ผมเจอเขาผ่านทางการสมัครโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างชาวญี่ปุ่นกับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยโอซาก้า ผมคิดว่าคงมีนักเรียนต่างชาติไม่กี่คนที่โชคดีเหมือนผมที่ได้เจอโฮสต์ดีมากแบบนี้ ทั้งนี้เพราะโฮสต์ของผมคนนี้ยิ้มเก่ง(เก่งกว่าคนไทยมาก) หัวเราะตลอด ชอบคุยเรื่องน่าสนใจ เป็นต้นว่าสังคม วัฒนธรรม และก็เคยพาผมไปที่น่าสนในหลายแห่ง เขายังเคยพาผมไปเข้าร่วมสังเกตการณ์การพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นของนครโอซาก้าเลย ดังนั้นในการเจอเขาอีกครั้งจึงทำให้ผมคิดถึงญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย คิดถึงคนญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนบอกว่าชาวญี่ปุ่นชาตินิยม ไม่ค่อยให้ความสนในเรื่องต่างประเทศ อันนี้ก็เห็นจะจริง ผมไปอยู่ญี่ปุ่น ได้มีโอกาสปฎิสันถารกับคนญี่ปุ่นบ้าง ถ้าไม่นับอาจารย์และนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย (ไม่ใช่ระดับปริญญาตรีนะครับ) บางคน ผมว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนโลกแคบทีเดียว

ผมคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ประการหนึ่งที่เป็นเหมือนกำแพงกั้นระหว่างคนญี่ปุ่นกับชนชาติอื่นๆคือภาษาญี่ปุ่น ที่จริงแล้วภาษาญี่ปุ่นก็มีส่วนคล้ายกับภาษาอื่นอยู่มาก เช่นมีการใช้ตัวอักษรคันจิเหมือนภาษาจีน แต่ถ้าพิจารณาแง่โครงสร้างภาษาแล้ว นับว่าแตกต่างจากภาษาจีนมากมายเหลือเกิน แต่ดันไปคล้ายกับโครงสร้างภาษาเกาหลี แต่เมื่อพิจารณาด้านคำศัพท์ คำที่คล้ายๆกับภาษาเกาหลีจริงๆมีจำนวนนับได้เลย จุดสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเสียงในภาษาทั้งสองที่คล้ายกันก็มีไม่พอขนาดที่จะกล่าวได้ว่ามาจากภาษาตระกูลเดียวกัน (มองแดนซากุระ:ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์ โฮะริเอะ,2545) ดังนั้นผมจึงคิดว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเองอย่างแท้จริง ถ้าจะให้พูดก็คงจะสาธยายไม่หมด แต่พูดได้ประโยคเดียวว่า ถ้าผู้ใดไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น อย่าหวังว่าเขาจะเข้าใจลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นได้เลย

เดี๋ยวจะหาว่าไปว่าชาวญี่ปุ่น แต่นิยาม "โลกแคบ" ของผมนั้นไม่ได้หมายความถึงการปฏิเสธการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างประเทศเนื่องด้วยการดูถูกคนต่างชาติต่างภาษาว่าเป็นคนต่ำชั้นกว่า แต่คนญี่ปุ่นมีนิสัยโลกแคบมาเพราะเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศในทวีปเอเชียด้วยกัน ประเทศเขา สังคมเขาเป็นสังคมที่เจริญเเล้ว มีสิ่งดีๆมากมาย หลายคนบอกว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่คนเอเชียเอาไปอวดฝรั่งได้ เพราะเป็นประเทศเอเชียเพียงประเทศเดียวที่มีความเจริญรอบด้าน

ก็อาจจะจริงครับ แต่บางทีคนญี่ปุ่นอาจจะไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยเพราะประเทศเขาไม่เจริญหรืออย่างไรนะครับ แต่เป็นเพราะว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้ถือว่าประเทศญี่ปุ่นอยู่ในทวีปเอเชีย แต่เป็นประเทศหนึ่งที่เจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเกินกว่าที่จะนับรวมกับประเทศด้อยพัฒนาต่างๆในทวีปเอเชียได้

เป็นที่น่าสังเกตมากว่า ครั้งหนึ่งผู้ผลิตสกีของฝรั่งเศสพยายามจะส่งสกีมาขายในญี่ปุ่นเมื่อหลายสิบปีก่อน รัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้นถึงกับประกาศว่า สกีฝรั่งเศสไม่เหมาะกับหิมะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศญี่ปุ่น (ฮา) ต่อมาในปลายปี 1980 เมื่อครั้งที่ผู้ส่งออกเนื้อสหรัฐพยายามจะเปิดตลาดญี่ปุ่น ทางกระทรวงเกษตรญี่ปุ่นถึงกับประกาศว่ามีเเต่เนื้อในญี่ปุ่นเท่านั้นที่เหมาะกับระบบการย่อยอาหารที่ไม่เหมือนใครของชาวญี่ปุ่น (เอาเข้าไป) และในราวปี 1990 นักวิจัยที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นอ้างว่าคนญี่ปุ่นมีพันธุกรรมที่โดดเด่นมากทางด้านการฟัง และสามารถชื่นชมเสียงของธรรมชาติได้มากกว่าชาติใดๆ (หน้าต่างสู่โลกกว้าง:ญี่ปุ่น)

เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกคนต่างชาติต่างภาษา แต่เพราะว่าเขาคิดว่าเขาเป็นชาติพันธุ์ที่ไม่เหมือนใครในโลกมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ใช่คนญี่ปุ่นที่จะต้องปรับตัวเข้าหาคนต่างชาติ แม้แต่ในทวีปเอเชียด้วยดันเอง แต่คนเอเชียประเทศอื่นๆจะต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ประเทศญี่ปุ่นยังเป็นเพียงประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นมหาอำนาจเพียงประเทศเดียวที่อยู่ในทวีปเอเชีย ไม่เหมือนประเทศพัฒนาแล้วในทวีปยุโรปหรืออเมริกาที่มีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมสูง ประเทศญี่ปุ่นจึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และกล้าคิดได้แม้ขนาดที่ว่าประเทศตัวเองไม่ได้อยู่ในเอเชีย

แต่ปัจจุบันนี้ โลกเราได้เปลี่ยนแปลงไป และมันบังคับให้คนญี่ปุ่นต้องเปิดกว้างมากขึ้น มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีความกระตือรือล้นในการเปิดโลกให้กับตัวเอง โฮสต์ของผมอายุหกสิบกว่าปีแล้วยังไปเรียนสนทนาภาษาอังกฤษอยู่เลย

ทุกครั้งผมเข้าไปในร้านหนังสือที่ญี่ปุ่น มุมที่ผมจะเข้าไปเป็นมุมเเรกเลยคือมุมหนังสือสอนภาษาอังกฤษ มีหนังสือสอนภาษาอังกฤษมากมายเหลือคณานับในญี่ปุ่น และที่สำคัญคือมีมากมายหลายเล่มที่ดี มีวิธีการสอนน่าสนใจ และมีคำอธิบายอย่างกระจ่างชนิดที่สามารถพูดได้ว่าไม่รู้จะกระจ่างมากกว่านี้ได้ยังไงแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนกลับมาเมืองไทย ผมเลยซื้อหนังสือภาษาอังกฤษดีๆกลับมาหลายเล่มทีเดียว

หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เคยรุ่งเรืองอย่างมากช่วงก่อนศตวรรษที่ 90 ถึงยุกตกต่ำ ประเทศญี่ปุ่นจึงเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คนญี่ปุ่นเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคง ถ้าตัวเองยังคงโลกแคบอยู่อย่างนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดกว้างมากขึ้น ผมคิดว่าพลวัตในสังคมญี่ปุ่นนี้น่าจับตาอย่างยิ่งครับ

9 Comments:

At 11:54 AM, Blogger David Ginola said...

ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ความรู้เอามาคิดต่อได้ ผมว่าคนมะกันก็ "โลกแคบ" เยอะเหมือนกันนะครับ หมายถึงในระดับประชาชนทั่วไป ผมไม่รู้เมืองอื่นเป็นไงนะ แต่เมืองที่ผมอยู่หลายคนเป็นอย่างนั้นนะครับ สงสัยคงเพราะเมืองเค้าเจริญแล้วเลยไม่รู้จะไปสนใจประเทศอื่นๆทำไม

welcome back นะครับคุณ steelers (ผมไม่ได้อัพมานานมาก ยุ่งเรื่องสอบอยู่ เกือบเสร็จแล้ว)

 
At 2:09 PM, Blogger pin poramet said...

อยากให้คุณ Steelers เล่าว่า เหตุใดถึงเลือก Alien VS Predator เป็นหนังในดวงใจ

ช่วยวิจารณ์หรือเล่าความหลังให้ฟังหน่อย

 
At 2:41 PM, Anonymous Anonymous said...

ไอ้คำว่า "ชาตินิยม" เนี่ย เราว่าประเทศไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ

ส่วนตัว ถ้ามองในรูปแบบของการโฆษณาประชาสัมพันธ์, รณรงค์, อนุรักษ์, กอบกู้ และสืบสานความเป็นไทย เรายังรู้สึกเลยว่าประเทศไทยน่าจะชาตินิยมมากกว่าญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ คือสงสัยเหมือนกันว่าที่เราต้องประกาศกันปาวๆ ยังนี้ จริงๆ แล้วเราเป็นชาติที่นิยมในชาติตัวเอง หรือเราเป็นชาติที่กำลังสูญเสียความเป็นตัวเองกันแน่ ซึ่งเราเอนเอียงไปข้อหลังมากกว่า ดูจากกระแส J-POP ที่คงอยู่มายาวนาน

เราก็เป็นคนหนึ่งที่ผูกพันซึมซับความเป็นญี่ปุ่นผ่านการอ่านหนังสือการ์ตูนมาตลอด ก็รู้สึกว่าเค้าเป็นชาติที่น่าทึ่ง ผลักดันอะไรมาให้ตกตะลึงอยู่ไม่ขาดช่วง animation ก็เยี่ยมสุดๆ ภาพยนตร์ตอนนี้ก็กลับมาแรงอีกแล้ว

 
At 5:12 PM, Blogger logger31 said...

โพสต์นี้ของคุณ steelers เปิดประเด็นไว้ให้แสดงความเห็นได้หลากหลายดี น่าสนใจๆๆ... ขอแจมด้วยเล็กน้อยค่ะ

ได้ยินมาเหมือนกันเรื่องที่ญี่ปุ่นบอกกับใครๆ เสมอว่าตัวเองไม่ได้เป็นเอเชีย... ถ้าคิดตื้นๆ แบบคนไม่ค่อยรู้อะไรมากก็คงจะสวนกลับทันทีว่ามันก็เห็นๆ อยู่นี่ไงว่าตาดำ ผมดำ เหมือนๆ กับพวกเรานี่แหละ(เดี๋ยวนี้เริ่มไม่ใช่แล้วแฮะ... เพราะมีทั้งแดง,ฟ้า,เขียว,เหลือง เต็มไปหมด +_+) และที่ตั้งบนแผนที่ก็อยู่ในเอเชียชัดๆ.... แต่ความจริงก็รู้ล่ะว่าเค้า "วัด" จากการเป็น
ประเทศในกลุ่มที่ 1 ซึ่งพัฒนาแล้วเหนือกว่าหลายประเทศในเอเชียทุกๆ ด้าน..... แต่เราก็พอจะได้เห็นภาพความ "อ่อนแอ" และ "เปราะบาง" ทางสังคมบางอย่างของญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ
เหมือนกัน..... กำลังหมายถึงกลุ่มคนเร่ร่อนไม่มีบ้านที่นอนเกลื่อนตามสวนสาธารณะซึ่งมีจำนวนมากขึ้นจนน่าตกใจ , สถิติการฆ่าตัวตายสูงมากกกกก, คนแก่ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของ
ประเทศนับวันจะถูกปล่อยให้รับบทหนูน้อยแมคคัลลีย์ใน home alone มากขึ้น (เหมือนบ้านเราเด๊ะเลย)... น่าคิดนะ คนแก่ญี่ปุ่นอายุขัยยาวขึ้น และมีจำนวนมากกว่าคนหนุ่มสาวในวัย
ทำงานซะอีก บวกกับสถิติการเกิดที่น้อยลงๆ ทุกที(คุมกำเนิดเยี่ยม)... แต่การพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ต้องอาศัยตัวจักรสำคัญคือกลุ่มคนหนุ่มสาวในวัยทำงานนี่นาาาา

ไม่กล้าแซวญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้วว่า "โลกแคบ"... เพราะเดี๋ยวนี้วัยรุ่นร้องเพลงภาษาปะกิตของวงดนตรีหรือนักร้องดังๆ ฝั่งอเมริกา/ยุโรปได้คล่องปากและเข้าใจความหมายลึกซึ้งด้วย
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้คนญี่ปุ่นคลั่งทั้งหนัง, ละครซีรีย์ทางทีวี รวมถึงนักร้องของเกาหลีเอามากๆๆๆ... สนามบินแทบแตกทุกครั้งที่ดาราหรือนักร้องของเกาหลีไปโชว์ตัวที่ญี่ปุ่น ทำเอาลืมเรื่องบาดหมางถึงขั้นเกลียดกันจนเข้ากระดูกดำในอดีตไปได้เลยนะเนี่ยยย

ปล. ขอบคุณมากค่ะคุณ steelers... ท่ี่แวะไปเยี่ยมบล๊อก ^_^

 
At 1:39 AM, Blogger Steelers(钢人) said...

คุณ Mr.Big พูดกินใจผมมากเลยครับ ผมก็คิดตรงกันนะครับว่าบางทีคนไทยอาจแสดงออกถึงความเป็นชาตินิยมมากกว่าคนญี่ปุ่นซะอีกครับ อยู่ญี่ปุ่นมาก็สองปี ไม่ค่อยได้เห็นธงชาติญี่ปุ่นเลย และสาบานได้ว่า ไม่เคยได้ยินเพลงชาติญี่ปุ่นแม้แต่ครั้งเดียว
จักรพรรดิญี่ปุ่นเองนั้นก็ทรงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศโดยแท้จริง ตามความเห็นของผม ผมคิดว่าสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงไม่มีบทบาทเหมือนครั้งที่พระองค์ทรงเคยมีเมื่อก่อนสงครามโลกอีกต่อไปแล้ว เมื่อถึงวันเฉลิมพระชมน์พรรษา ประชาชนก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย
นอกจากนี้ผมคิดว่าในบรรดาคนญี่ปุ่น บุคคลที่พูดจาสุภาพทีสุดในหมู่เกาะญี่ปุ่นนั้น คือสมเด็จพระจักรพรรดิและสมาชิกราชวงศ์ทั้งหลายนี่เอง ผมเคยฟังเวลาพระองค์ทรงตรัสต่อหน้าสื่อมวลชน ทรงตรัสด้วยถ้อยคำที่สุภาพมากที่สุดที่ภาษาญี่ปุ่นจะสามารถสร้างได้ ฟังแล้วได้เรียนรู้หลักการพูดคำสุภาพในภาษาญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และคงไม่ต้องบอกนะครับว่าสมาชิกราชวงค์ญี่ปุ่นหลายพระองค์ทรงเครียดเพียงใดกับการใช้ชีวิตในรั้วในวัง
ทัศนคติเกี่ยวกับชาติของชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนไปมากครับ แต่ทัศนคติต่อ "กลุ่ม" ยังคงมีอยู่มากเหมือนเดิม และนี่เองก็เป็นกลไกขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
กลับมาถึงคนไทยบ้าง สังเกตได้ว่ารัฐบาลไทยพยายามประชาสัมพันธ์ความรักชาติมาช้านาน ทำจนดูเหมือนว่าคนไทยมีความรักชาติมาก แต่ทัศนคติของคนไทยก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ผมคิดว่าเป็นเพราะว่าการประชาสัมพันธ์ที่ทำกันเหล่านั้นมันเป็นการกระทำที่ฉาบฉวยเอามากๆ เช่นการเปิดเพลงชาติทุกวัน วันละสองครั้ง เปิดจนคนขี้เกียจลุกเเล้ว นอกจากนี้ก็ยังโฆษณาให้คนไทยรักชาติ ประหยัดพลังงาน แต่ตัวรัฐบาลเองก็กลับไม่ได้มีจิตสำนึกเสียงเอง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ประเทศไทยเรารับอะไรใหม่ๆเข้ามาได้ง่าย แต่ก็มีกระแสรณรงค์ให้รักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ ไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนจะมีโมเมนตัมมากกว่ากัน

ตอบคุนปิ่นนะครับ ผมชอบหนัง Alien vs Predator เพราะสาเหตุหลักๆดังนี้ครับ
1. จริงๆก็ไม่มีความหลังอะไรมากหรอกครับ ผมส่วนตัวเเล้วชอบดูหนังแนว Sci-fi เพราะผมคิดว่าหนังที่มันไม่เวอร์เนี่ย ไม่รู้จะดูไปทำไม ชีวิตจริงทั่วไปก็มีอะไรให้ดู ให้คิด ให้ศึกษาอยู่เต็มไปหมดอยู่เเล้ว
2. ผมชอบ predator เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดต่างดาวตัวนี้มีลักษณะหลายอย่างที่น่าชื่นชมครับ คือ 2.1 ฉลาด สามารถคิดค้นเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ ก็คล้ายกันกับคอนเซปต์มนุษย์ต่างดาวที่มีความสามารถมากกว่ามนุษย์
2.2 เป็นคนที่สามารถพึ่งตัวเองได้ดี มีความสามารถไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นมากนัก เพราะเขามีสมองที่ฉลาด มีพละกำลังที่แข็งแรง มีอาวุธที่ทรงอานุภาพ มีทุกอย่างที่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และถ้าจะให้ดีกว่านี้คือสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้
2.3 Predator มีความเป็นลูกผู้ชายสูงครับ อันนี้น่านับถือ เขาจะไม่ชอบสังหารด้วยอาวุธระยะไกล แต่กลับชอบต่อสู้ด้วยอาวุธระยะใกล้ ถ้าคู่แข่งไม่มีอาวุธอยู่ในมือ เขาก็จะใช้สองมือเปล่า นอกจากนี้ถ้าเป็นผู้หญิงท้องหรือคนป่วยที่ไม่มีทางสู้ เขาจะไม่ฆ่าเด็ดขาด นั่นก็คือความมีสปิริตสูงนี่เอง
อย่างไรก็ตามครับ นั่นเป็นเพียงแค่ความประทับใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้นครับ ดูไปดูมา มันก็ยังเป็นแค่หนังที่มนุษย์ตัดต่อขึ้นมาอยู่วันยังค่ำ

 
At 2:39 AM, Anonymous Anonymous said...

และแล้ว ก็ได้เวลาเข้ามาเยี่ยม หลังจากให้นายเข้ามาเยี่ยมอยู่นาน เพิ่งเปิดให้ Anonymous แสดงความเห็นเหรอนาย

เรียน MA สนุกมั้ย มีเด็ก BE เรียนเยอะเหรอเปล่า
คนสอนคิดว่ายังคงเป็นอาจารย์สี่คนเดิมใช่ปะ
แนะนำให้เรียน Micro, Math อย่างสุด ๆ เพราะว่าตอนนี้เราก็กำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ Preliminary อยู่เหมือนกัน
เนื้อหาเยอะมากแล้วข้อสอบยากกว่า Final เยอะ

เรื่องความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่นนั้น
เราเห็นด้วยว่าเค้าอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก โลกมันเปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
เค้าจำเป็นต้องปรับตัว ประเทศเค้าก็มีปัญหาเศรษฐกิจไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ หรอก โดยเฉพาะค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

เราคิดว่าปัจจัยนึงที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับตัวก็คือเรื่องของภูมิศาสตร์ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมาก
เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศอื่น ๆ นั่นหมายความว่าทรัพยากรก็ต้องมีอยู่อย่างจำกัดตามไปด้วย ประเทศเค้าไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทั้งหมด ถึงได้ สินค้าบางประเภทก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับประเทศอื่นผลิต โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น labor-intensive(ตามหลักของ Comparative Advantage)

แต่เรื่องของหิมะ เคยได้ยินมาเหมือนกันนะว่าหิมะที่ตกในแต่ละพื้นที่นั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน
บางที่ละเอียด บางที่ก็หยาบ สังเกตมั้ยล่ะว่าบางพื้นที่ หิมะตกก็จริง มีภูเขาด้วยแต่ว่าเล่นสกีไม่ได้
แต่ของญี่ปุ่นนี่ไม่รู้ว่ามันมีลักษณะเฉพาะตัวยังไง

ตามความเห็นของ big เรากลับมองว่าไทยเรายังไม่ได้สูญเสียความเป็นชาตินิยมไปนะ เรากลับมองว่า
ไทยเราเป็นประเทศที่เปิดกว้าง ยินดีและเต็มใจต้อนรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ (ทั้งที่ดีและที่ไม่ค่อยเหมาะกับไทยเรา)ต่างหาก ถึงแม้ว่ามันอาจจะเกินเลยไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็เชื่อว่าลึก ๆ แล้วคนไทยทุกคนมีความเป็นชาตินิยมอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถึงเวลานั้น ไทยเราก็คงไม่ยอมให้เสียเอกลักษณ์นั้นไปหรอก

เห็นด้วยกับนายอยู่จุดนึง ตรงที่เป็นมุมสอนภาษาอังกฤษ ทำให้กลับมาคิดได้ว่า การมีหนังสือสอนภาษาต่างประเทศในร้านหนังสือ เราคิดว่ามันคงเป็น indicator หนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้นะว่าประเทศเราเปิดกว้างมากพอหรือเปล่า (แต่ไม่เห็นหนังสือสอนภาษาไทยที่นี่เลย หรือว่ารัฐเราคงไม่ใช่รัฐที่เปิดกว้างพอ)

ว่าแล้วก็จับตาดูกันต่อไป

ปล.ถ้านายมีความเห็นจะตอบกลับถึงเรา รบกวน copy คำตอบแล้วไป paste ในไดเราด้วยได้มั้ย
เพราะว่าเราไม่ได้เข้ามาเช็คบ่อย ๆ และเช่นกันถ้านายถามเรา เราก็จะมาตอบในไดนาย

ปล.ที่สอง ทำไมต้องไปสถานฑูตหลายรอบจัง ตอนที่เราสมัคร ไปแค่สามครั้งเอง

 
At 6:03 AM, Blogger joinsungz said...

ขอแนะนำหนังสือ

ใครเป็นแฟน 'รงค์ วงษ์สวรรค์

คงได้ติดตามซีรี่ส์ท่องเที่ยว

ท่องแดนอาทิตย์อุทัยในมุมมองของ 'รงษ์ได้ใน

"สาหร่ายปลายตะเกียบ"

recommended by...
joinsungz

 
At 11:12 AM, Anonymous Anonymous said...

พูดถึงเรื่องโฆษณารณรงค์ความเป็นไทย มันพาลให้นึกถึงโฆษณาสินค้าจำพวกแอลกฮอลล์ทุกที สังเกตแล้วหงุดหงิดมั้ยว่า ทำไมโฆษณาส่วนมากจึงมักใช้นายแบบนางแบบที่หน้าตาดูเป็นลูกครึ่ง คิดอยู่เสมอเลยนะว่า ก่อนจะส่งมาออกอากาศทางทีวี มันก็น่าจะผ่านการถกเถียงแก้งานอะไรมาบ้างแล้ว แต่ไหงหน้าตาไม่ไทยถึงยังอยู่คู่กับสินค้าที่ต้องการสืบสานความเป็นไทยอยู่เรื่อย หรือแท้จริงมันมีนัยทางจิตวิทยาอะไรรึเปล่า? หรือหน้าตาแบบนี้เป็นมาตรฐานของหน้าตาคนไทยในปัจจุบัน?

คุณ steelers ก็พูดโดนใจกระผมเรื่องความฉาบฉวยนิเหมือนกัน อย่างเรื่องศิลปวัฒนธรรมไทย พูดมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่บ้านเมืองเราก็ไม่เห็นจะมีความคืบหน้าในเรื่องนี้เอาเสียเลย พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ ตรงสี่แยกปทุมวัน ก็ไม่รู้จะสร้างตามคำสัญญาของผู้ว่าคนปัจจุบันรึเปล่า เราบอกจะสืบสานวัฒนธรรมไทย แต่ไม่เห็นมีสิ่งก่อสร้างหรือรูปธรรมอันใดที่ชี้ชัดว่าเราสนใจที่จะรักษามันไว้จริงๆ เห็นมีแต่ห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง ที่ไม่ควรจะผุดให้มีปัญหาจราจร ก็ดันผุด มันน่าจะมีการควบคุมผังเมืองบ้างนะ ญี่ปุ่นก็เป็นยังไงในเรื่องนี้ เอามาแชร์กันบ้างสิ

ตอบเพื่อน Warm เราคิดว่าคนไทยไม่ชาตินิยมนะ อาจเป็นเฉพาะคนรุ่นใหม่ก็ได้ คือเรารู้สึกว่าคนไทยเป็นชาติที่รับอะไรเข้ามาได้ง่ายและเร็วมาก ไม่ว่าเอเชียอย่างญี่ปุ่น,เกาหลี,ไต้หวัน หรือมะกันอย่าง rap,hip-hop เป็นเทรนด์โลกเมื่อไร เสร็จเราทันที แล้วเราเป็นพวกรับมาทั้งดุ้น ไม่มีการปรับหรือพัฒนาให้เข้ากับตัวเอง ร้อนจะตาย เด็ก hip-hop บางคนยังใส่เสื้อหนาๆ บางคนต้องมีสร้อยเพชรแขวนคอแบบพวกนักร้องผิวสี ถ้าเราชาตินิยมจริง หนังโคตรไทยอย่าง "โหมโรง" ก็คงไม่ต้องหนุนอะไรกันมากหรอก เราว่านะ

พูดถึงตรงนี้ ก็ทำให้นึกได้ว่า จริงๆ ญี่ปุ่นก็ไม่ได้โลกแคบยังนั้นเสียเท่าไร อย่างมังงะ(manga)หรือการ์ตูนญี่ปุ่นเริ่มแรกก็รับของเมกา แต่เค้าก็พัฒนาจนมีจุดเด่นของตัวเอง ตอนนี้เหนือชั้นกว่าของเมกาไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วก็คงเพราะมังงะนี้แหละมั้ง ที่ทำให้เรายังบ้าความเป็นญี่ปุ่นมาถึงทุกวันนี้

ชาเขียวกำลัง out ชาขาวกำลังจะ in

 
At 1:36 PM, Anonymous Anonymous said...

ฮาๆๆ ขอเเจม
พูดถึงเรื่องกลไก การขับเคลื่อน เศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทีคุณ steeler พูดถึงเรื่องทัศนคติที่มีต่อกลุ่มที่ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อน ศก.ของประเทศ ตรงส่วนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเเหะ เเต่ความเห็นผม กลไก ที่เคยมีส่วนสำคันที่สุดที่ช่วยให้ประเทศนี้ก้าวพ้นมาจากประเทศผู้เเพ้สงคราม เเถมโดน ปรมณูไปสองลูก กลับมายิ่งใหญ่ได้ในช่วงสองทศวรรศที่เเล้วนั้น ...ผมมองว่าเป็นผลมาจาก เเรงกดดันจากภายนอกประเทศซะส่วนใหญ่ ตัวพลักดันสำคัญที่ทำให้ชนชาติหันมาร่วมมือร่วมใจกันสร้างชาติ คือ อเมริกา มิตรประเทศที่คอยจ้องตักตวงผลประโยชน์ทุกรูปเเบบจากญี่ปุ่นในฐานะที่ตนเป็นฝ่ายชนะสงคราม ไม่ว่าจะกดดันทางด้านกำลังทหาร รึว่า จะเป็นยุทธศาสตร์ที่เอารัดเอาเปรียบทางการค้า ... สิ่งนี้เป็นตัวกระตุ้นให้คนในชาติที่ประเทศของตนกลายสภาพเป็นดินเเดนรกร้าง ร่วมมือร่วมใจกันสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้... เเต่ในช่วง สิบยี่สิบปีที่ผ่านมา สถานะการณ์ของโลกได้เปลี่ยนไป ศัตรูของอเมริกา กลายร่างเป็น รัสเซีย ในช่วงสงครามเย็น ตลอดจนถึงการทำสงครามกับ อัฟกานิสถาน เเละ อิรัก ร่วมไปถึงท่าทีที่เเข็งกร้าวของจีนในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมด ได้เบี่ยงเบน เป้าหมายทางกำลังทหารของอเมริกา ออกไปจากญี่ปุ่นได้หมดสิ้น ตลอดจนการพัฒนาขึ้นขององค์กร ทาง ศก. ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น IMF หรือ WTO ทำให้การเอารัดเอาเปรียบทางการค้ามิสามารถทำได้ตามใจ อย่างในอดีต...สิ่งเหล่านี้ ร่วมไปถึงความสำเร็จในการพัฒนาประเทศของญี่ปุ่นในช่วงยุคหลังสงคราม ทำให้สภาวะปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่น อยู่ในสถานะไร้ซึ่งเเรงกระตุ้นอีกต่อไป เหมือนเด็กที่โตขึ้นมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมเเล้วทุกอย่าง ความอดทนต่อความเหนื่อยยากย่อมลดน้อยลง ทั้งที่มันคือปัจจัยหลักที่จะนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จ....ต่างจากอเมริกาที่เป็นสังคมที่มีความเเข็งขันกันภายในประเทศในระดับที่เข็มข้น ต่างจากยุโรปที่รวมตัวกัน เพื่อให้เกิดสภาวะที่คอยกระตุ้นประชากรในเเต่ละประเทศให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา...ทั้งในยุโรปเเละอเมริกาต่างมีเเรงขับเคลื่อนจากภายในที่คอยช่วยขับเคลื่อน ศก.ของตัวเองไปข้างหน้าทั้งคู่...ดังนั้นคำถามสำคัญคือ เมื่อเเรงขับเคลื่อนจากภายนอกได้หายไปหมดเเล้ว ญี่ปุ่นจะสร้างเเรงขับเคลื่อนจากภายในมาดัน ศก. ของตนให้เดินหน้าต่อไปได้.............ประเทศไทย.....ในน้ำมีปลาในนามีข้าว...ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของมใคร..เราจะเอาพลังอะไรมาขับเคลื่อนประเทศของเรา..........................โฮ่ ดีเหมือนกันนะ ได้มาใส่ความคิดเห็นในบล็อกนี้ บล็อกผมมีเเต่เรื่องปัญญาอ่อน เอาเรื่องซีเรียสใส่ลงไปเเล้วไม่ค่อยมีคนสน...ฝากหวัดดี คุณก้อ เเละ พี่ปกป้องด้วย..ผมเอง ต้า กระโจม..

 

Post a Comment

<< Home