Friday, September 16, 2005

เรียนไปบ่นไป

จากสัปดาห์แรกผ่านมาถึงสัปดาห์ที่สามที่เปิดเทอม สรุปว่าเทอมนี้เรียนสี่ตัว คือไมโคร แม๊คโคร เศรษฐมิติ และภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนต่างชาติ และผมก็จัดการดร็อป Real Analysis ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากครุ่นคิดแล้วว่าเอาไม่อยู่แน่ ตอนแรกลองลงไปดูก่อนเพื่อน่าสนใจ และมันก็เป็นวิชาที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน นอกจากนี้วิชานี้ถือว่าเป็นวิชาระดับปริญญาตรีแต่เปิดให้นักศึกษาระดับโทเอกลงได้ แต่ที่ไหนได้พอไปเรียนจริงๆกลับมีแต่นักศึกษาโทเอกทั้งนั้น อาจารย์ก็จบ math จาก MIT ไตร่ตรองแล้วเห็นว่าดร๊อปดีกว่า เรียนแค่สามสี่ตัวในคณะนี่แหละ เอาให้มันรอดก่อนดีกว่า

"แต่" พอมาเรียนในคณะจริงๆก็ยากพอดู เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนมาก่อนหรือลืมไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้คิดว่าสามารถตามในห้องทัน เพราะวิชาเหล่านี้จะมี Recitation ในวันศุกร์ซึ่ง TA ของแต่ละวิชาจะมาสรุปสิ่งที่อาจารย์สอนมาในสัปดาห์นั้นให้ฟัง ก็เลยเรียนค่อนข้างไม่เครียดมาก จริงๆเรียนที่นี่ถ้าไม่หวังทำเกรดละก็ พูดได้เลยว่า "สบาย" แต่ถ้าอยากให้เกรดดีก็พูดได้เลยว่า "หนักเอาการ" เนื่องจากอย่างที่บอกละครับ ระบบเกรดที่นี่มีแค่ ผ่านสูง(H) กับ ผ่าน(P)และครึ่งค่อนห้องก็จะได้ P

นอกจากนี้ในวิชาไมโครกับเศรษฐมิติ ก็จะมีนักเรียนจาก Business School มาเรียนด้วย แต่เพื่อนผมบอกว่า สบายพวกนี้จะมาเป็นฐานให้เรา ที่ไหนได้ เอา H กันเป็นแถว พวกเศรษฐศาสตร์อย่างเราเกือบตายกว่าจะรอดมาได้ อย่างว่าละครับ ผมคิดว่าเมื่อเทียบชั้นเชิงกันแล้วคณะเศรษฐศาสตร์ของ UNC ยังไม่สามารถดึงดูดนักเรียนหัวกะทิได้มากพอ อาจจะเป็นเพราะว่า ranking อาจจะไม่ดีนักเมื่อเทียบกับคณะอื่นของ UNC

จากสัปดาห์แรกถึงสัปดาห์ที่สาม สิ่งที่ยืนยงคงกระพันอย่างนึงก็คือ หลับในวิชา Prof. Froyen ทุกคาบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ไม่ว่าจะพยายามถ่างตาขนาดไหน ก็หลับ แต่จริงๆก็คือสัปหงก เพราะถ้าหลับตลอดเวลาก็คงแย่มากๆ เห็นทีต้องกินกาแฟก่อนเรียน ชัวร์ป๊าด ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วนะครับว่า ท่านอาจารย์ Froyen ท่านสอนเป็นยังไง แต่อย่างไรก็ตาม Prof. Froyen ดูป๊าปเดียวก็รู้เลยว่าใจดีมาก ก็ trade off กันนะครับ

以上

Saturday, September 03, 2005

สัปดาห์แรกของการเรียน

หายไปนาน มีอะไรอยากเขียนเยอะเหมือนกัน
อย่างแรกก็คือสอบไฟนั่ลเสร็จแล้ว เกรดก็ออกมาธรรมดาไม่ดีมาก แต่สิ่งที่คิดได้ก็คือระบบเกรดที่นี่ ออกแบบมาภายใต้ปรัชญาของมหาวิทยาลัยจริงๆ คือทางบัณฑิตวิทยาลัยไม่อยากให้นักเรียนแข่งขันกันมากจนเกินไป ไม่อยากให้นักเรียนบัณฑิตวิทยาลัยเครียดเรื่องในห้องมากเกินควร ก็เลยออกแบบระบบการคิดเกรดมาเป็น H P L F แทนที่ A B C D F และอยากให้นักศึกษาเน้นการทำงานร่วมกัน และเรียนรู้เรื่องนอกห้องเรียน รวมถึงเทคนิกกรทำวิจัยให้มากๆ และที่สำคัญก็คือ อยากให้นักศึกษาเน้นการสอบ compre มากกว่าเน้นทำเกรดให้ห้องเรียน เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองนะครับ แต่เรียนมาทุกคลาส อาจารย์ทุกคนพูดเรื่องนี้ก่อนอื่นเลย ผมก็เลยเริ่มมีความเห็นคล้อยตามระบบนี้มากขึ้นทุกที แต่ผมก็ยังคิดว่าระบบนี้มีข้อเสียอยู่เหมือนกันที่ว่า แทนที่เด็กจะตั้งใจเรียน กลังว่าจะไม่ตั้งใจเรียน เพราะคิดว่ายังไงก็ได้ P อยู่แล้ว ก็จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ แต่สุดท้าย คนที่คิดแบบนี้ก็ไม่รอด compre อยู่ดี
ที่จริงแล้วระบบนี้ก็มีดีอยุ่อย่างหนึ่ง คือนักศึกษาสามารถลงวิชาได้มากและกว้าง โดยไม่ต้องกังวลกับเกรดมากนัก ว่าเกรดจะแย่ ขอให้ได้ P ก็พอแล้ว ซึ่งผมชอบตรงจุดนี้ ถึงตรงนี้ยังคิดอย่างไปเทกคอร์สภาษาจีนเล่นเลย แต่น่าเสียดายที่เต็มไปแล้ว

ฝากถึงผู้อ่านหลายๆคนที่เคยอ่านหนังสือ Macroeconomics Theory and Policy ของ Froyen ซึ่งถือเป็นหนังสือแบบเรียนเศรษฐศาสตร์มหภาคยอดนิยมของเมืองไทย ว่าผมได้เรียนกับเขาแล้ว เป็นอย่างไรนะเหรอครับ ขอบอกว่าตรงข้ามกับที่คิดมาก คือ แกจะเสียงนุ่ม พูดค่อยๆ ไม่มีน้ำหนัก ชวนให้นอนฝันกลางวันเป็นอย่างยิ่ง

เปิดเทอมแล้ว เมือง chapel hill ที่ช่วงปิดเทอมเงียบมาก ตอนนี้กลับมีชีวิตชีวาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องจากน้องๆนักศึกษาปริญญาตรีที่กลับเข้ามาเรียน รวมทั้งนักศึกษาหน้าใหม่ก็ back to school กัน ทำให้เมืองมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทำไปทำมาตอนช่วงเปลี่ยนคาบนี้ ดูเหมือนว่าคนจะเดินยั้วเยี้ยมากกว่าที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ซะอีก

แต่ที่น่าสังเกตก็คือมหาวิทยาลัยนี้มีนักเรียนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงได้ยินเสียงบ่นจากนักศึกษาสาวบ่อยๆว่า หาหนุ่มที่ถูกใจไม่ค่อยได้ (เขาไม่ได้บ่นให้ผมฟังหรอกนะครับ) ในขณะเดียวกัน หนุ่มๆที่นี่ก็พูดกันว่าหาสาวๆออกเดทได้ง่าย (อันนี้ผมไม่ได้พูดนะ) อันนี้ไม่รู้จะเป็นปัจจัยหนึ่งหรือเปล่าที่นักศึกษาหญิงที่นี่ แต่งตัวค่อนข้างจะวอกๆแวมๆมาก และเขาจะรักษารูปร่างมาก เพราะหนุ่มที่มหาวิทยาลัยนี้ส่วนใหญ่จะรูปร่างดี เพราะที่นี้เป็นมหาวิทยาลัยกีฬา นักศึกษาเล่นกีฬากันมาก เพราะฉะนั้นเปิดเทอมมานี่ มหาวิทยาลัยจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ช่วงนี้มีข่าวที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือทางรัฐนอร์ท คาโรไลน่า จะลดงบประมาณที่จัดสรรให้กับทาง unc ลง 6.3 ล้านเหรียญ ก็เลยมีการพูดกันว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็เป็นการยากที่ทางมาหวิทยาลัยจะสามารถรักษาอันดับของตัวเองไว้ได้ ณ ตอนนี้ unc ถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของมหาวิทยาลัยของรัฐ(ปริญญาตรีนะ ไม่รู่วาทาง graduate study จะเป็นยังไง) โดยมี UC Berkeley รั้งอันดับหนึ่ง U Virginia อันดับสอง U Michigan Ann Arbor และUCLA รั้งอันดับสามร่วม และถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยเอกชนด้วยแล้ย UNC อยู่อันดับ 27 ร่วมกับ Tufts และ Wake Forest U. โดย UC Berkeley ได้อันดับ 20 โดยปัจจัยที่การวัดนั้นมี class size, faculty compensation และ student faculty ratio รวมอยู่ด้วย ซึ่งผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยพยายามรักษาเอาไว้ เช่น ที่UNC 54% ของคลาสทั้งหมด มีนักเรียนน้อยกว่า 20 คน เป็นที่สองรองจาก UC Berkeley เท่านั้นที่มี 58% แต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ "เงิน"เป็นสิ่งรักษา เพราะฉะนั้นการตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลอะไรกันบ้าง ผมว่าน่าสนใจนะครับ แต่ขอบอกก่อนว่าการจัดอันดับต้องดูอย่างมีวิจารณญาณนะครับ