Saturday, December 31, 2005

วันหยุดปีใหม่ ไปช่วยลุงสร้างบ้านบนภูเขา (1)

สวัสดีปีใหม่ครับ วันหยุดปีใหม่นี้ผมไปช่วยคุณลุงผมสร้างบ้านมา ลุงผมคนนี้เดินทางมาที่สหรัฐอเมริกาเมื่อสามสิบกว่าปีมาเเล้ว แต่งงานมีครอบครัวกับคนอเมริกันที่นี่ ถือว่าเป็นคนไทยคนที่สองที่ผมรู้จักที่มีภรรยาเป็นคนฝรั่ง นอกจากอาจารย์ป๋วย

ลุงผมคนนี้ถือว่าเป็นคนที่สู้ชีวิตมากคนหนึ่ง มาอเมริกาแบบเสื่อผืนหมอนใบ บวกกีตาร์อีกหนึ่งตัว เรียนหนังสือ ทำงานหาเงิน มีผู้หญิงมาชอบหลายคน สุดท้ายก็ลงเอยกับคุณป้าคนอเมริกันของผม กว่าจะแต่งงานได้ก็ผจญกับปัญหามากมาย หลังแต่งงานก็มีปัญหามาก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงิน รายละเอียดมีมาก แต่ไม่เหมาะสมที่จะเอามาเล่า หลังจากศึกษาชีวิตของคุณลุงผมแล้วรู้เลยว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ที่สหรัฐอเมริกานี้ต้องต่อสู้อย่างมากมายกว่าที่จะมีชิวิตที่สามารถเรียกได้ว่ามั่นคง ถึงแม้หลายคนอาจจะคิดว่าคนไทยในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่มีชีวิตสะดวกสบาย

คนไทยในสหรัฐอเมริกานั้นมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนคนไทยที่เมืองไทย คือพวกเขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด นี่เป็นลักษณะของประเทศที่เจริญแล้ว ที่ค่าแรงคนงานแพงหูฉี่ แต่เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆราคาถูกโดยเปรียบเทียบกับค่าจ้าง และเครื่องมือต่างๆก็มีให้เลือกมากมายและสามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นหลายๆท่านลองสังเกตดูว่าถึงแม้บ้านคนอเมริกันส่วนใหญ่จะมีที่จอดรถที่มีที่ปิดเปิด แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องจอดรถข้างนอกตากแดดตากฝนอยู่ดี เพราะในที่จอดรถนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆเต็มไปหมด

ลุงผมคนนี้กำลังสร้างบ้าน เป็นบ้านหลังที่สองของเขาอยู่ที่เวอร์จิเนีย อยู่บนภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2700 เมตร ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Appalachian mountain range ที่ทอดยาวมาตั้งแต่ Kentucky, West Virginia, Virginia, North Carolina, และ Tennessee เทือกเขานี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นที่ทำงานของคนงานเหมืองถ่านหิน เป็นแหล่งกำเนิดของดนตรี Blue grass และเป็นบ้านของเหล่า redneck ทั้งหลาย

บ้านของลุงผมนั้นเป็น log home ที่เขาออกแบบเอง log home นั้นถือเป็นบ้านที่ถือว่าสวยที่สุดในบรรดารูปแบบบ้านต่างๆ ถือว่าดีกว่าบ้านไม้ อิฐ หิน และคอนกรีต แต่ก็ถือว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเช่นกัน ทั้งในการสร้าง และที่สำคัญคือการบำรุงรักษา รูปแบบและเนื้อที่นั้นบ่งบอกให้เห็นว่าผู้สร้างต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองมาหาความสงบจากธรรมชาติ อากาศดีๆ วิวสวยบนภูเขา และสามารถปิกนิค ล่องเรือ และล่าสัตว์ได้ในพื้นที่ใกล้เคียง

ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่า ที่ดินเหล่านั้นกำลังถูกจับจองจากคนพอมีฐานะที่อยากสร้างบ้านพักผ่อนหลังที่สอง ทำให้ราคาที่ดินค่อยสูงขึ้น คนท้องถิ่นที่เป็น redneck ต่างๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งที่ดินมาให้ก็ไม่ค่อยจะพิสมัยเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งมาจากภาษีที่ดินที่ต้องจ่ายมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่ถึงแม้ว่าราคาที่ดินจะสูงขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็ยังยืนหยัดไม่ขายที่ดิน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของพี่ๆน้องๆ ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ

เรื่องการสร้างบ้านนั้น ลุงผมตัดสินใจจ้างคนงานท้องถิ่นมาสร้างโครงบ้านให้ เมืองที่ลุงผมสร้างบ้านนั้นสมัยก่อนเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์มาก ต่อมาถูกเฟอร์นิเจอร์จากเมืองจีนตีตลาด และรัฐบาลอเมริกันก็ไม่ได้ช่วยเหลือ ก็เลยทำให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของเมืองนี้ล้มหายตายจากไป เพราะฉะนั้นลุงผมจึงสามารถหาช่างไม้ฝีมือดีๆมาได้

ช่างไม้ที่ลุงจ้างมานั้น ทั้งหมดเป็นสมาชิกครอบครัวJenkinsประกอบด้วยพี่น้องสามคนประกอบด้วย Sam Rodney และTim ตัวคุณพ่อชื่อ Philip ซึ่งอายุ 81ปีแล้ว แต่ยังทำงานไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว น่าทึ่งมาก นอกจากนี้ยังมี Jeremy ซึ่งเป็นลูกของ Tim มาช่วยงานด้วย

Saturday, December 24, 2005

รถไฟฟ้า ความฝัน หรือ ความจริง バンコクの電車、幻か現実か

กรุงเทพฯเป็นมหานครที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เนื่องด้วยมีสถานที่สำคัญ สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากมาย และเป็นเมืองเเรกของเมืองไทยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องเดินทางมา

นอกจากนี้กรุงเทพฯยังเป็นมหานครที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดของประเทศไทย มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าสิบล้านคน ผมคิดว่าสามารถเทียบชั้นศักดิ์ศรีกับมหานครโตเกียวหรือว่ามหานครใหญ่ๆทั่วโลกได้อย่างสบาย

มีศาสตราจารย์ทางสังคมวิทยาคนหนึ่งชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบเมืองไทยมากเคยบอกผมว่ากรุงเทพฯมีจำนวนตึกสูงมากกว่านครโตเกียวเสียอีก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรของผม และก็เชื่อว่ากรุงเทพฯมีศักยภาพอย่างสูงในฐานะเมืองหลวงที่จะนำพาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าได้

แต่เมื่อผมมาคิดดูดีๆ ก็คิดว่ากรุงเทพฯ จะไปเทียบเคียงกับมหานครโตเกียวได้อย่างไร เพราะกรุงเทพฯไม่มีลักษณะที่ดีประการหนึ่งของมหานครที่ดีควรจะมี นั่นก็คือ ระบบการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ

จนกระทั่งเมื่อผมได้ยินว่ารัฐบาลใจปั้มจะลงทุนสร้างระบบขนส่งสาธารณะระบบรางทั้งๆที่เศรษฐกิจไทยตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลง จะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าจะยึดเอาคะแนนเสียงจากชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯที่ไม่สนับสนุนพรรคไทยรักไทยหรืออาจจะตั้งโครงการเมกะโปรเจกต์นี้เพื่อจะให้เป็นโต๊ะจีนให้บุคคลในคณะรัฐบาลอันทรงเกียรติทั้งหลายมาร่วมดินเนอร์กันพร้อมหน้าหรืออย่างไรก็ตาม แต่ผมก็ยังคงคิดว่าถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องมีระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ

เหตุผลสำคัญที่ผมสนับสนุนนโยบายนี้มีหลายประการ ดังนี้
1. ผมคิดว่าการสร้างถนนไม่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ง่ายๆก็คือการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคภายใต้ข้อสมมุติการคาดหวังที่สมเหตุสมผล (rational expectations) การสร้างถนนเพิ่มก็เหมือนกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัวโดยที่นโยบายนั้นสามารถถูกคาดการณ์ (anticipated) ได้จากประชาชน ซึ่งจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัวนั้นไม่มีประสิทธิภาพ และแน่นอนว่าประชาชนสามารถคาดการณ์ได้ว่าถนนจะถูกสร้าง ทำให้ประชาชนซื้อรถยนต์มากขึ้นด้วยความหวังที่ว่ารถจะติดน้อยลง ในที่สุดในระยะเวลาอันสั้นรถก็จะกลับมาติดเหมือนเดิม เหตุผลนี้สามารถถูกพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีจากนโยบายแก้ไขปัญหาจราจรระยะสั้นด้วยการสร้างและตัดถนนเพิ่ม การสร้างสะพานข้ามทางแยกและอุโมงค์ลอดสี่แยกต่างๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้ในระดับที่น่าพอใจและสภาพการจราจรก็กลับมาคับคั่งเหมือนเดิม

แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างถนนในที่ที่ควรสร้างก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ และก่อให้เกิดการพัฒนาของสองข้างทางที่ถนนตัดผ่าน กรุงเทพฯนั้นถือว่ามีอัตราพื้นที่ถนนต่อพื้นที่ของทั้งเมืองต่ำอยู่ เท่าที่ผมจำได้ ประมาณไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กรุงนิวยอร์คมีถึง 25% กรุงโตเกียวมี 14% โดยประมาณ โปรดสังเกตด้วยว่าเมืองสองเมืองนี้มีระบบขนส่งรถไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทั้งเมืองอยู่แล้ว ยังมีอัตราพื้นที่ถนนต่อพื้นที่เมืองสูงกว่ากรุงเทพฯเสียอีก สิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯยังมีพื้นที่ที่สามารถสร้างถนนหนทางได้อีกพอสมควร โดยเฉพาะฝั่งธนบุรี ที่มีถนนสายหลักอยู่ไม่กี่สาย ส่วนใหญ่จะเป็นซอยเล็กซอยน้อยเสียมาก ดังนั้นถึงเวลาที่เราจะต้องวางระบบผังเมือง และวางแผนสร้างถนนให้เป็นระบบเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป เมื่อกรุงเทพฯเจริญเติบโตขึ้นอย่างไม่เป็นระบบแล้วอาจจะสายเกินไป

2. ที่ดินควรจะถูกเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่าที่จะเอาไปทำที่จอดรถ ที่ดินถือเป็นปัจจัยการผลิตที่มีจำกัดที่สุดในบรรดาปัจจัยการผลิตด้วยกัน ถึงแม้จะมีการสร้างที่ดินเทียมเพิ่มขึ้นมาเช่นการสร้างตึกสูง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน ทุกวันนี้รถยนต์ได้กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองโดยที่เราไม่ได้สังเกต ในประเทศสหรัฐอเมริกา รถยนต์ครอบครองเนื้อที่ถึงเกือบ 1 ใน 3 ของเมือง เมื่อจำนวนรถมาก จำนวนที่จอดรถก็ต้องมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่จอดรถอาจจะเป็นได้ทั้งอาคารใหญ่โตทันสมัยที่มีการวางระบบการเดินรถเป็นระเบียบ เช่นที่จอดรถใต้อาคารธรรมศาสตร์ ๖o ปี หรืออาจะเป็นลานจอดรถบนดินที่เปลืองพื้นที่โดยไม่จำเป็น อย่างเช่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย พื้นที่อาคารที่จอดรถกินพื้นที่มากกว่าครึ่งของพื้นที่ธนาคารทั้งหมด รวมทั้งพื้นที่ของสถานที่อื่นที่ทางธนาคารไปขอให้พนักงานนำรถเข้าไปจอดเพราะที่จอดรถของธนาคารมีไม่เพียงพอ จริงอยู่ที่ที่จอดรถเหล่านั้นถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน และเราคงจะโทษการสร้างที่จอดรถไม่ได้ แต่ผมคิดว่ามันน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่พื้นที่เหล่านั้นสามารถเอามาทำประโยชน์ได้อีกมาก ถ้าคนเราไม่มีรถมากขนาดนั้น เช่นเราสามารถสร้างสวนสาธารณะหรือสร้างห้องสมุดแทนได้ เป็นต้น

3. ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม อันนี้คงไม่ต้องพูด เห็นๆกันอยู่แล้ว

4. การคมนาคมที่สะดวกเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาที่ดิน และก่อให้เกิดการจ้างงาน การลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากมายมหาศาล

เราจะสังเกตง่ายๆจากเกมซิมส์ซิตี้ ถ้าที่ดินไหนไม่มีถนนตัดผ่าน ก็จะไม่เจริญเสียที ในขณะที่ที่ดินข้างๆมีถนนตัดผ่าน จะเจริญข้ามหูข้ามตากันไปเลย

นอกจากนี้ เราสามารถเรียนรู้การใช้เส้นทางรถไฟเป็นตัวจักรในการพัฒนาที่ดินได้เป็นอย่างดีจากญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือว่าเขามีชีวิตผูกพันกับรถไฟมาก แทบจะเรียกได้ว่าวันไหนไม่ได้นั่งรถไฟจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเลยทีเดียว และด้วยวันๆมีคนใช้รถไฟมากมายนี่เอง ที่ดินรอบๆสถานีรถไฟก็กลายเป็นทำเลทอง มีการสร้างห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรอบๆสถานีรถไฟ โดยในสถานีใหญ่ๆนั้น บริษัทที่ดำเนินธุรกิจรถไฟจะเป็นผู้ลงทุนพัฒนาที่ดินด้วยตัวเอง มีการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงแรมหรูหรามากมายนอกจากนี้การตั้งราคาค่าเช่าอพาร์ทเมนต์ในญี่ปุ่นก็คำนวณกันจากระยะทางจากสถานีรถไฟนี่เอง

ในกรุงเทพฯสถานการณ์อาจจะเป็นตรงกันข้าม ที่ดินไหนใกล้สถานีรถไฟหรือใกล้รางรถไฟจะไม่มีใครไปอยู่กัน และก็จะมีชุมชนแออัดขึ้นโดยรอบ ทั้งนี้เพราะว่ารถไฟแทนที่จะให้ความสะดวก กลับก่อให้เกิดเสียงที่เป็นมลพิษเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านการพัฒนาที่ดินในกรุงเทพฯขนานใหญ่เมื่อสนามบินสุวรรณภูมิสร้างเสร็จ และความเจริญจะเป็นทวีคูณเมื่อระบบรถไฟฟ้าเจ็ดเส้นทางเปิดใช้บริการอย่างสมบูรณ์

ในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าจะจัดการอย่างไรกับบริเวณพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิดี บางคนถึงกับสนับสนุนให้สถาปนาเป็นเมืองใหม่เป็น “นครสุวรรณภูมิ”ในฐานะเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นเดียวกับพัทยาและภูเก็ตกันเลยทีเดียว บางคนสนับสนุนเลยเถิดไปถึงสถาปนาเป็น “จังหวัดที่77”ของประเทศไทยไปเลย เพื่อลดข้อจำกัดทางด้านการแก้กฏหมาย

แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิได้ถูกตีกรอบไว้แล้วว่าจะต้องเป็น “เมืองโลจิสติกส์”แน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นทำเลทองที่นักธุรกิจจับจ้องไม่กระพริบตา ทั้งธุรกิจจัดสรร คลังสินค้า นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการขนส่งและการบิน รวมไปถึงค้าปลีกและธุรกิจความบันเทิง ซึ่งผมคิดว่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายมหาศาล เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกมาก ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ และรับรองได้ว่าผลบุญอันนี้จะต้องแพร่ไปยังเมืองรอบข้างที่มีศักยภาพแต่กำลังโหยกระหายระบบการจัดการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เช่นจังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง ซึ่งมีนิคมอุตสาหกรรมมากมาย ท่าเรือแหลมฉบังและอีสเทิร์น ซีบอร์ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ท่าเรือแหลมฉบังจะกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศทันที่ที่ท่าเรือคลองเตยย้ายเข้าไปรวมด้วย เกิดการรวมระบบขนส่งเป็นหนึ่งเดียว และผมคิดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอันมาก เนื่องด้วยประเทศไทยยังมีความต้องการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างนี้เป็นจำนวนมาก คือเมืองไทยยังมีศักยภาพที่สูงมากอยู่นั่นเอง

ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิเองนั้น จะกลายเป็นศูนย์กลางการบินเชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะมีการโยกย้ายธุรกิจการบินจากดอนเมืองมาทั้งหมดแล้ว ยังมีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 6 เท่ารองรับธุรกิจขนส่งทางอากาศและธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมายที่ได้กล่าวไปแล้ว

และที่สำคัญเมื่อระบบรถไฟฟ้าเจ็ดสายเปิดบริการเมือไหร่ เส้นทาง “ดิน น้ำ ฟ้า”ก็จะถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน เมืองขนส่งสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ และศุนย์กลางอุตสาหกรรมภาคตะวันออกก็จะมีศักยภาพครบเครื่อง

สำหรับในตัวเมืองกรุงเทพฯเองนั้น ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล รถไฟฟ้าแต่ละสายจะมีจุดที่ถือว่าเป็น “แม่เหล็ก”ดึงดูดธุรกิจพัฒนาที่ดินเหมือนกรณีของประเทศญี่ปุ่นที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ลองมาจินตนาการกันดูนะครับ สถานีบางซื่อ จะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งแห่งใหม่ของกรุงเทพ เป็นชุมทางรถไฟแห่งใหม่แทนหัวลำโพง ผมคิดว่าสามารถเปรียบได้กับสถานีรถไฟโตเกียวของญี่ปุ่นเลยทีเดียวครับ สถานีบางเขนจะกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาและที่พักอาศัย สถานีหลักสี่ จะกลายเป็นศูนย์ราชการ สถานีดอนเมืองจะกลายเป็นศูนย์การค้านานาชาติ พื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรม และศูนย์นิทรรศการ สถานีรังสิต จะเป็นศูนย์ชุมชนสถานีชานเมือง สถานีตากสินกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งสู่ภาคตะวันตก และสถานีหัวลำโพงจะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ สำนักงานห้างร้านต่างๆ

ในจำนวนนี้ “ศูนย์มักกะสัน”ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นแหล่งธุรกิจที่โดดเด่นที่สุด เพราะคาดกันว่าจะเป็นศูนย์รวมของทั้งธุรกิจ ที่พักอาศัย ธุรกิจบันเทิง ศูนย์รวมสินค้าโอท็อป ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และแหล่งช้อปปิ้ง ทั้งนี้เพราะสถานีมักกะสันนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์เชื่อมตัวเมืองกรุงเทพฯกับสนามบินสุวรรณภูมิ ศักดิ์ศรีเปรียบได้กับสถานีชินจุกุของมหานครโตเกียวเลยทีเดียว

ปล: จริงๆแล้วผมเขียนบทความนี้นานมาแล้ว สมัยที่รัฐบาลไทยยังไม่ถังแตกเหมือนปัจจุบันนี้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นยังไงบ้าง อย่างไรก็ตามผมก็ยังหวังว่าสิ่งที่ผมจินตนาการไว้ จะไม่ได้กลายเป็นแค่ความฝันไป

Friday, December 23, 2005

Surakiart for UN Sec Gen -- Should we quit?

Source: The Nation
Author: Suwat
Date: 22 Dec 2548 20:14

Dear All;
Please check out the article below. Your tax baht at work. The Thai Ambassador to Washington has suggested that Surakiart Sathirathai's campaign to be the next UN Sec Gen was a waste of our tax baht. What do you think? (see The Nation's report below)

REPLACING KOFI ANNAN

Abandon UN race, Bangkok advised
Published on December 22, 2005

Embassy in US urged govt to end bid in Sept, citing ‘unresponsive’ Washington. Thailand should withdraw Deputy Prime Minister Surakiart Sathirathai’s candidacy for the post of UN secretary-general, the Thai Embassy in Washington recently advised the Foreign Ministry.

The embassy suggested the longer Thailand waited to exit the campaign, the greater the political damage it faced.

In a telex obtained by The Nation yesterday, the Foreign Ministry was advised that Surakiart’s bid to replace outgoing UN Secretary General Kofi Annan was in doubt, because the US did not support it.

The telex said the current and previous US secretaries of state appeared “unresponsive” to Thailand’s fielding of Surakiart and that it was “not too late” to withdraw his candidacy.

The telex said it would not be “embarrassing” to withdraw Surakiart’s candidacy at this time, but suggested a tactical withdrawal sooner rather than later.

The telex, dated September 30, 2005, and signed by then Thai ambassador to Washington Kasit Piromya, said US President George W Bush had implied Surakiart was not “a brand name” and “unmarketable” in the areas of human rights, democracy and leadership.

Support by the US is important for any candidate, since Washington, as one of the five permanent members of the Security Council, has the right to veto.

Surakiart claims to have the support of China and Russia, two of the five permanent members.

The telex said neither Secretary of State Condoleezza Rice or her predecessor Colin Powell had ever paid much attention to Surakiart’s candidacy.

In fact, they had been “unresponsive” and “unexcited” about Thailand’s bid to have its deputy prime minister replace Annan, the telex said.

The government was urged to assess Surakiart’s candidacy honestly, without bias or personal ambition, because the country had more important things to do with its money than spend it on Surakiart’s campaign.

It appears the Thai Embassy in Washington based its assessment on a series of dialogues between Thaksin and US President George W Bush, and Surakiart and US Defence Secretary Donald Rumsfeld, as well as lower-level discussions between Thai officials and their American counterparts.

The telex also pointed out that Rumsfeld did not appear satisfied with Surakiart’s answer when asked what kind of platform the Thai candidate was running on. Instead of explaining what he had in mind for UN reforms, Surakiart spoke of the importance of the US role in the world body, the telex said.

Former ambassador Kasit made headlines earlier this year when he turned down a proposal to hire a lobbying firm with ties to US Vice President Dick Cheney, reportedly at a price of Bt1.5 million a month, to help win US support for Surakiart.

Kasit, who recently retired from the foreign service, reportedly suggested Thailand use Clark Consultants to campaign for Surakiart, a firm then working on the Thai-US Free Trade Agreement.

A senior official at the Foreign Ministry said it remained government policy to mobilise all national resources necessary to help Surakiart snare the UN’s top job.

nice photos of the Pittsburgh Steelers




How to appreciate Japanese temples and shrines 日本の神社仏閣の楽しみ方(終)

Buddhist influence on shrine
The development of Shinto shrine may roughly be divided into two stages, namely, the straight-line period which is the purely native style of Japan before the advent of Buddhism. After the introduction of Buddhism from China and Korea in the middle of the sixth century (552 A.D.), Shinto shrines and Buddhist temples began to be integrated into the same architectural complex in the period called curved-line period. Today one can find Shinto elements in many Japanese Buddhist shrines; Chinese styles, imported with the new religion, likewise influenced the development of Shinto shrines. The Shinto shrine structure became more elaborate under the influence of the grander Chinese style of Buddhist temples. It seems that straight lines are in perfect harmony with plain or unpainted shrines, while curved or complicated lines with the shrines which are painted and decorated with carvings. The existing examples of the former one are Taisha style of Izumo shrine and Shinmei style of Ise shrine. The latter has a number of styles. For example, Kasuga(春日) style- kasuga shrine, Nagare(流れ) style, found in the country countless number of Shinto shrines and comparatively easy to build, but looks highly graceful as far as its external form. Its example is Kamo shrine in Kyoto and Meiji Jingu in Tokyo. Hachiman style, used for Hachiman, the god of war. Next is Gongen style, used for the shrines of deified humans. Its examples are Hachiman shrine in Kamakura and Nikko Toshogu. The rise of a powerful aristocracy in the Fujiwara clan also contributed to the changes. Shrines reflected family honor and noble families commissioned the designs and supported the building of many new magnificent shrines in Kyoto and Nara, cities where one may still find the most beautiful and elaborate shrines in Japan.

After the ninth century, Esoteric Buddhism made great headway in absorbing Shinto. These sects stressed that the Buddha deities-indeed all beings- were ultimately emanations of cosmic Buddha. Just as Amaterasu was identified with the cosmic Buddha, so all kami could be identified with appropriate Buddhist deities.
In Edo and Meiji period, various people attempted to reformulate Shinto as a separate, native tradition, and to place it above the foreign Buddhism. Therefore, the shrines constructed in this period were beautiful, monumental and dedicated to various figures mythical and historical, who had contributed to the greater glory of the imperial institution or the country. They were built in Shinmei style by bare wood and in vast spaces, supposedly untainted by Buddhist influence. They are usually called Jingu rather than Jinja. Its examples are Meiji Jingu, Yasukuni Jinja, Kashihara Jingu. Because of its close ties to the militarism that led to World War II, State Shinto organization was disestablished in 1945.

There are three main types of shrine. First, there are those of purely local significance, housing the kami of the locality (ujigami). Second, there are shrines of a particular recurrent type, such as the Inari Shrines(稲荷), which are visited with a view to winning business success. These may be found in any part of the country. Third, there are shrines of great national and semi-political importance such as the Ise(伊勢), Izumo, Meiji Jingu, and Yasukuni Jinja (靖国神社)mentioned earlier. Other types of shrine that recur throughout the country include the Hachimangu(八幡宮) Shrines, dedicated to the kami of war and martial prowess, the Toshogu(東照宮) Shrines, sacred to the memory of the dictator-general Ieyasu (died 1616) and reflecting the colourful pomp of his mausoleum at Nikko, the Tenmangu Shrines where a loyal but wrongfully banished aristocrat is revered and believers pray for success in literature and study, Sumiyoshi(住吉), which is dedicated to the kami of seafarers, Tenjin(天神), which is dedicated to the deified Heian-period scholar Sugawara no Michizane. The famous one is Kitano Tenman-gu in Kyoto.
Popular shrines
Besides those mentioned earlier, the important shrines which are worthwhile to visit include Fushimi Inari Taisha(伏見稲荷大社), Heian Jingu(平安神宮), Kitano Tenman-gu(北野天満宮), Kibitsu Jinja(吉備津神社), Kotohira-gu(琴平宮), Oyamazumi Jinja(大山済み神社), Miyajima, Dazaifu Tenman-gu(宮島大宰府天満宮), and Takachino.



Bibliography

1. Robert S. Ellwood and Richard Pilgrim (1992), Japanese religion: a cultural perspective, Prentice Hall, USA.
2. June Kinoshita and Nicholas Palevsky (1998), Gateway to Japan, Kodansha, Japan.
3. Aisaburo Akiyama (1955), Shinto and its architecture, Tokyo News Service, Tokyo.
4. Dorling Kindersley (2000), Japan, London.
5. Minoru Oka (1973), Temples in Nara and their arts, John Weatherhill Inc., Japan.
6. Takaaki Sawa (1972), Arts in Japanese Esoteric Buddhism, John Weatherhill Inc., Japan.
7. http://ias.berkeley.edu/orias/visuals/japan_visuals/shinto.HTM
8. http://www.hope.edu/academic/religion/reader/japan.html
9. http://www.asahi-net.or.jp/~QM9T-KNDU/shintoism.htm

How to appreciate Japanese temples and shrines 日本の神社仏閣の楽しみ方(4)

Shinto (神道) or The Way of the Kami.
Shinto is the national faith of Japan with its roots stretching back to 500 B.C., and is a poly-theistic one venerating almost any natural objects ranging from mountains, rivers, water, rocks, trees, to dead notables. Among the natural phenomena, the sun is most appealing to the Japanese and the Sun Goddess is regarded as the principal deity of Shinto, particularly by the Imperial Family. To most Japanese, Shinto is a part of the backdrop of daily life, a set of customs that are to be followed more or less, but not to be pondered deeply. Unlike more organized religions, Shinto is characterized not by scriptures and churches but by archaic myths, a concern for purity and defilement, and a chaotic amalgamation of shrines and rituals centered on the most primitive terms of survival. It revolves around the rites and festivals of the community, not of the individual.

Although Shinto is the national faith of Japan, what is remarkable about Shinto is not its nationally organized form, but the persistence of its local character Long before Yamato period, each village and clan has its own kami(神). Even today, it is local kami that are celebrated in a community’s most serious rituals. Unlike Buddhism, Shinto has had very few iconography; rather, the focus of Shinto practice in general, and of Shinto art specifically, is ritual, including shamanism, the ritual handling of such natural materials such as stone and wood, ritual dance and music, particularly Kagura which is dance and music designed to call forth kami, to entertain kami, and the ensure the benefits of the presence of kami.
What the Shinto shrine signifies is the meanings of a hollowed structure consecrated to the kami who are revered and worshipped by high and low without distinction of sex. The kami are numinous entities that govern natural forces or occupy natural places. Among natural places, mountain peaks, being closest to the sky, and being also source of live-giving water, are especially favored. Mt.Fuji is the most famous Japan’s innumerable sacred peaks. Originally, a sacred place was marked simply, with a rope or some other delimiter. Nowadays, there is usually a small shrine at the summit of the mountain, while the main shrine- the one which people normally pray- is at the base, near the community, preferably in a place of great natural beauty, especially Cryptomeria(杉) groves. The Shinto shrines often stand in sacred natural surroundings that are also beautiful and pure; they are places of natural awe and sacrality. Religious and aesthetic go hand in hand. Nature reveals sacrality and the aesthetic sensitivity to its beauty has religious significance. The erection of Shinto shrine is a mark to enlighten the thoughts of the nation, to refine the minds of the masses, and to unite the national spirits, and the various other objects to make the people happy and prosperous.
Purposes of shrines
The most obvious purpose is nature-worship, ranging from natural phenomena, natural places, animals, and inanimate things. Additionally, it is hero-worship. It resulted from the belief that men or women who have done some meritorious services to the State are deified as the kami. Next, it is ancestor-worship, which holds a high position in Shinto. Lastly, it is emperor-worship. The emperor of Japan is a legitimate descendant of the kami.
Spiritual symbol of the kami
In every Shinto shrine, there is always enshrined a sacred object called Shintai which means the Divine Body. It is spiritual symbol of a kami, and it is kept strictly secret. As a rule, its inspection is never permitted to the public but to the chief priest of a shrine in which it is installed, or only on a special occasion. Most Shintai are represented by a round mirror, jewel, sword, halberd, scepter, bow, arrow, or stone.
Visiting a shrine
Torii(鳥居). Every Shinto shrine is bound to be provided with one or more torii. Torii is an indispensable symbol of making the hallowed ground of the Shinto shrine, so that it is put up even in case of lacking of sanctuary. Koma-inu(狛犬) or Korean dog, the function of this animal is generally like Nio, whose object is to prevent the entry into the holy precincts of evil spirits. Ablutions, these are performed by rinsing hands and mouth from a stone basin of pure water before praying at a shrine. Shimenawa(注連縄), the straw rope is a sign to avert evil spirits and a demarcation against dirt or filth. In general, it is a symbol empowered to exclude anything that may soil the purity of Shinto. It is thought necessary that the straw be renewed as often as possible. The Shimenawa is woven of clean rice-straw leftward or sinistraly, from 7, 5, or 3 strips of straw are hung down at intervals. They represent the three primitive kami, the seven heavenly kami, and the five earthly kami. At the end of straw is never cut off and woven in, being left as it is, signifies simplicity and cleanliness according to the viewpoint of Shinto. It is often festooned with white paper strips, called gohei. Priests and shrine maidens, only large shrines have official priests. The shrine maidens are thought to originate from shamanesses of antiquity. Along with their other deities, they perform Kagura dance, a vestige of ancient trances in which shamanesses served as the kami’s mouthpiece. Oharai (お祓い), it is the most common rite which is purification by waving what looks like feather duster of shredded paper. This dusts away defilements.
Individual visitors to the shrine simply stand outside before the worship hall, toss a coin into the offerings box, pull on a dangling rope with a bell or clanger at the top, clap their hands twice, bow briefly in prayer, clap their hands again and leave. The sound of the clanger and of the handclap is intended to alert the kami to the believer's presence.
Original shrines
In the primitive ages, the kami were worshipped first in an isolated, natural wood, and then in a spot thoroughly purified, planted with trees and fenced with stone around. The earliest constructed Shinto shrines suggest the form of single dwelling houses in ancient times and were in fact intended to house ancestral spirits who would be given food offerings. This pre-historic Japanese ancestor worship was incorporated into the Shinto practice of enshrining deities named in the Kojiki(古事記) and historical heroes as kami. As Shinto became more established in Japanese society, people needed more convenient access to worshipping the kami, and shrine complexes were built within villages and cities. More convenient methods of conducting rituals were adopted and led to the introduction of the shrine complex with ceremonial buildings in addition to the hall enshrining the kami. On an early emperor’s dwellings, the Shinto architecture developed a shrine complex surrounded by a fence entered through a sacred arch or torii. The complex included a main hall for worshipers (haiden), a smaller kami hall (honden) and a ritual landscape. Worshippers in the haiden directed their prayers to the honden, which housed a specific kami symbolized by a sacred object from Japanese mythology such as a mirror or sword.
Ise(伊勢) shrine has been said to be a symbol of Japanese state and its ultra nationalistic ideology. According to Watanabe Yasutada , ‘I was stuck by delicate balance and harmony of proportion displayed by each building, and the unexpected radiance of shrine surprised me. The details created an overwhelming impression of abstract geometrical shapes, of circles, planes, and angels. The partial view of Shoden is tantalizing and invites one to imagine for himself the unseen portion of the inner shrine. The harmony and refined elegance achieved by the shrine architecture at Ise are intoxicating to lovers of beauty and draw one into the architecture itself.’
There are two shrines in Ise, the Naiku,内宮, (Inner shrine) of Amaterasu or the goddess of the sun, and Geku,外宮、 (outer shrine) of the grain deity. The Naiku at Ise also houses the sacred mirror, which forms a part of the imperial regalia, along with sword and jewel. These are symbols of divine authority. The high priest of Ise was traditionally an imperial princess, reflecting Japan’s early history of shamanesses, priestesses, and ruling empresses
In early recorded history, each new emperor had to build a new place- even a new capital- to avoid pollution from the death of his predecessor. Later in Nara period, it was rebuilt on an adjourning plot whenever a new emperor was installed. This practice had a parallel in shrines, which were periodically torn down and completely rebuilt on adjourning plots. Today, Ise is the only shrine to continue this practice. It is rebuilt every 20 years, a tradition that has continued almost uninterrupted for 1,300 years. The rebuilt of Ise is a long, complicated ritual involving the preparation of special timber, building a new shrine, transporting the kami, and dismantling the old shrine. The most recent rebuilding was in 1993.
Ise was built in Shinmei style, based on an emperor’s storehouse because of its function as the repository for the sacred mirror. The roof line was straight which was considered as a native feature without Buddhist influence.

Izumo (出雲)shrine
Izumo Taisha is the largest shrine hall in Japan. It is dedicated to Okuninushi-no-mikoto(大国主命), a deity who is closely associated with agriculture and medicine, as well as marriage. It is well known throughout Japan for the Izumo-Taisha style, is considered oldest, most revered and basic style of Shinto shrines in Japan. The shrine environs are sacred and therefore ecologically pristine, with towering Cryptomeria trees. Its 11 large torii are very impressive. Izumo shrines are enclosed by fences, which ordinary people cannot enter. The courtyard is covered with pebbles, giving it clean and bare appearance.

Friday, December 16, 2005

How to appreciate Japanese temples and shrines.日本の神社仏閣の楽しみ方(3)

Nichiren (日蓮)sect, rejecting Amida and Zen, insisted that the only true teaching lay in the Tendai sect’s tenet, the Lotus Sutra. The Toho-to, as a symbol of Lotus Sutra, is common in Nichiren temples.
The famous deity in Kamakura period is Jizo bosatsu(地蔵菩薩). Jizo is a bosatsu assigned by Amida to save souls during the Mappo. He is depicted as a mendicant monk, with shaved head, dressed in simple robes, and carrying a pilgrim’s staff. He is especially beloved because of his power to save children and sinners from purgatory and hell. He is also a road guardian and often stands by the roadside in group of six, one for each of the six realms of reincarnation.

Zen(禅)
In contrast to the many exotic deities of Mahayana pantheon, Zen deities are humans called Rakan. Rakan statues are often seen in Zen temple. Rakan is believes to reached the state of enlightenment equal to that of Shaka. Moreover, the portraits of famous priests are often found in Zen temples. This reflects the simplicity of Zen.

Zen stresses monastic life, but unlike the esoteric sect, it does not reject ordinary humanity. Monk is trained to forswear the five desires (property, sex, food, reputation, and sleep) and live strictly regulated by a series of bells and gongs. Every activity, no matter how mundane must be done with utmost awareness. Unlike the Esoteric sects, which try to elevate humans to a pure state trough austerities, secret chants, and rituals, Zen stresses on simple everyday life-practicing zazen, walking, washing, eating, bathing, and excreting which affected Zen temple architecture: kitchens, bathhouses, and latrine were brought into the garan and be considered intrinsic to the organization of the temple.

Zen temple plans are arranged according to the formal, rectilinear plan favored by China. Important halls are aligned along north-south axis: main gate(山門), Buddha hall(仏殿), lecture hall(法堂), monk dormitory(僧堂), kitchen(食院), lavatory(東可), and baht hall(浴室).In many Zen temples, the symmetric garan is usually overwhelmed by an organic chaos of subtemples that have grown up around it. It became customary for important priests to establish small residential subtemples, called tatchu. Moreover, these subtemples were built to pursue various arts- calligraphy, gardening, tea ceremony- and thereby became rich repositories of Japanese culture. However, these arts are different from other kinds of Japanese arts. In Zen, art is less a symbol with obvious religious content designed to teach or point beyond itself than a natural expression of and adjunct discipline for seated meditation or zazen. One famous Zen art is the rock garden at Ryoan-ji. The garden creates a Zen religio-aesthetic atmosphere of quietude and stillness, and express Zen idea that ‘form is emptiness, emptiness is form.

The Zen temple compound is entered by a bridge over a pond or steam, symbolically crossing from the earthly world to that of Buddha. Buildings are beautiful but natural looking. Often of unpainted wood; they are intended to be conducive to emptying the mind of worldly illusions and facilitating enlightenment.

The best Zen temples include the five great Zen temples in Kita Kamakura (建長寺、円覚寺、Jochi-ji, 浄明寺(Jomyo-ji), 重複時(Jufuku-ji), 大徳寺, 永平寺, and 南禅寺(in Kyoto).

What is more, most Japanese think of Buddhism in connection with funerals, therefore one often finds cemetery in many temples. In historic temples, one can find the tombs of important figures of the past; a gorin-to, a five-leveled stupa, indicates a person of high status. A tombstone shaped like the tip of a huge baseball bat marks the grave of an important priest.

In addition, many temples are historically associated with a nearby shrine or Okuno-in (Inner Sanctum), especially those which belong to Esoteric Buddhism which indicates the accommodation between this Buddhist sects and Shinto.

How to appreciate Japanese temples and shrines. 日本の神社仏閣の楽しみ方(2)

Esoteric Buddhism(密教 or mikkyou
Japanese early Buddhist period coincided with religion’s zenith of Korea and China. Temples, images, and all panoply of continental culture were imported wholesale into Japan. But whether the Japanese possessed a profound understanding of Buddhist teachings remains in doubt. Temples were built for the good of state and common people were drafted by the thousands to become monks or nuns, whether they had interest or not. Japanese Buddhism came to an age in the early ninth century with the arrival of Mikkyo (密教) or Esoteric Buddhism, which were brought from China by Saicho and Kukai(空海). Saicho founded Tendai(天台) sect at Enryaku-ji (延暦寺)on Mt. Hiei(比叡山). Kukai brought a purer form of mikkyo called Shingon(真言宗) sect whose headquarter is Kongobu-ji (金剛峰寺)on Mt.Koya(高野山). It adopted the magical rituals and meditation practices of Indian Tantrism; Tantric influence can be seen in the fierce faces and multiple arms and heads of mikkyo iconography. Its teachings were conveyed to Diamond Mandala and Womb Mandala in which Dainichi nyorai(大日如来), aspects of all other beings, sits and surrounded by four directional nyorai, four Dakini bosatsu, five Kokuzo bosatsu, the five Myo-o (明王)who are fierce manifestations of Dainichi and function as evil and illusion conquerors, and Ten (deva). This placement can be seen at the interior of lecture hall in To-ji(東寺)。

Since prehistoric times, the holiness of mountains has been an integral part of Shinto. As mikkyo became the dominant form of Buddhist during Heian period. Enlightenment became a personal quest, achieved through an intense spiritual ‘climb.’ Mountain, physically elevated and sacred, were the obvious place to build monasteries where aspiring monks would practice rituals and undergo austerities- much likes yamabushi of the syncretic Shugendo cult. Mountain sites made the ordered and symmetric garan impossible. Instead, temples were built to fit the natural terrain, with halls scattered on different levels and joined by basic mountain paths.

The mikkyo sects stresses gradual initiation into secret rites, and, for this reason, the main halls of mikkyo temples have a central barrier dividing the interior into the outer part for an uninitiated and an inner sanctum where there is an altar and, behind it, space for additional images. This style came to be known in Kamakura period as Wayo (和様), or Japanese style. A variant of Wayo, known as Setchuyo(折衷用), or mixed style between the Wayo style’s basic plan and the features of the Zen style.

The mikkyo sects also introduced a new kind of pagoda, the two-storied Taho-to(多宝塔), alluding to the Lotus Sutra and is therefore favored by both Tendai and Nichren sects
The famous temples of these sects are 東寺、金剛峰寺(Kongobu-ji),Kotoku-in, 延暦寺(Enryaku-ji), 醍醐寺(Daigo-ji), 神護寺(Jingo-ji), 恩常時(Onjo-ji), Saidai-ji, 大安寺, and 室生寺(Muro-ji).

Amidism
Later Heian period, there was pessimism which partly motivated by the belief that the world was entering Mappo(末法) or a degenerate and dark epoch in which the Buddhist law would be in eclipse. During this time the social, political, and religious turmoil was seen as proof that life itself might be coming to an end or at least that impermanence (mujo), karmic retribution (inga), and mappo were seriously jeopardizing the human search for order, purity, and salvation. During the Mappo, even monastic austerities will not save a person who does not place his faith in Amida, the nyorai of Jodo, the Pure Land across the western ocean. The Amidist believes that was a compassionate being who would save earnest believers. Just as Amida will descend from the Pure Land to welcome souls, so the temples began to come down from their mountaintops.

Amida nyorai(阿弥陀如来) is usually portrayed in one of two poses: Amida presiding over Jodo, seated, with hands resting in the lap forming the meditation mudra. The examples are Amida Buddha in Byodo-in or the great Amida Buddha in Kamakura. The other is Amida in Raigo, descending to welcome souls, with one hand raised in the ‘do not fear’ mudra, and one hand extended downward in the giving mudra. Amida mandalas depict Amida in Jodo, seated in a palace surrounded by rejoicing attendants, dancers, and musicians. Before them is a pond representing the Western ocean. Amida often forms a trinity with the bosatsu Seihei and Kannon.

Konnon Bosatsu(観音菩薩) or goddess of mercy is a manifestation of Amida and highly venerated in his own right. Kannon has promised to appear in thirty-three forms to save humankind. The most popular are Sho-kannon, a graceful human-shaped being usually standing and holding a lotus and vial, Juichi-men kannon, with eleven faces, Senju Kannon, whose thousand arms are cast wide to save all beings. The Bato Kannon has a fierce face with a horse’s head in the crown. Whatever the form, a tiny of Amida is embedded in Kannon’s crown as a reminder that Kannon is Amida’s manifestation.

Amida scruptures are housed in Amida hall, which became the main structure in Amidist temples. The halls are three-dimensional Amida mandalas, depicting Amida paradise. The halls face east as Amida faces east from his Western paradise. The famous Amidist temples are Sanzen-ji, Byodo-in, Hokai-ji, Chuson-ji, and Jorori-ji.
In Kamakura period, the severe Gempei war led many people to conclude that the world had indeed entered Mappo, and out of this conviction arose new sects that promised salvation to all, even the common people. Jodo or Pure Land Sect which taught that salvation through Amida’s mercy could be achieved by endlessly reciting ‘Namu Amida Butsu. With this belief, there is a barrier between the ordinary, impure world and the pure land and early Jodo temples were built at the foot of mountains, the symbolic border between the profane and sacred. Jodo Shin or True Pure Land Sect believes that Amida will descend all the way into to world of mortals to save all believers, regardless of their state of degradation. The temples of this sect were built in ordinary communities and characterized by a large worship hall, capable of holding hundred of worshippers. The immense hall of Hongan-ji in Kyoto is a good example.

Tuesday, December 13, 2005

How to watch and enjoy Japanese temples- make the best use of your trips to Japanese temples and shrines(1)

Buddhist temples in Japan are rich in history and romance. They contain many of the most exalted masterpieces of Japanese art and architecture. Temples dominate the average sightseer’s itinerary. Yet without the understanding of basic Buddhist beliefs or the development of sects, they can seem to be old and dark halls filled with many mysterious icons. The structure of temples and Buddha images reflects the basic tenets of each Japanese religion. Therefore, it is well worth the effort, for not only interested persons, but also all visitors, to learn to read temples and Buddhist images as a way to understand Japanese religion, and of course, Japanese culture.

During Buddhism’s long journey to Japan – through India, Central Asia, China, Korea- local gods and goddess were adopted. It consists of intricately ranked pantheon of deities, which conveniently mirrored the stratification of Japanese society. At the top were Nyorai(如来 or Buddha) and Bosatsu(菩薩 or Bodhisattva). The enlightened Sakyamuni was known as Shaka (釈迦) which is one of ‘Nyorai’ or ‘enlightened one’. The Buddhist deities have relations with the sect and period in which they are particularly prominent; however, one will see most of these deities in all types of temples, and from all periods.

Mahayana Buddhism worships several nyorai (如来) besides the historical Buddha or Shaka. Each nyorai is a different aspect of the same ultimate truth, and the relationships between them are explained by complicated theories about reincarnations, different ‘worlds,’ and different era. This idea is somewhat similar to Hinayana Buddhism in which the Buddha was born in 550 worlds before being born to be the real historical Buddha. In sculpture, their identifying marks include simple monk’s robes devoid of ornamentation, hair composed of snail curls, lotus, and a flower that symbolizes the capacity of every living being to rise out of the slime of existence and achieve nirvana.

Bosatsu(菩薩)or Bodhisattva are compassionate beings which postpone their own nirvana in order to save all sentiment beings. At the same time, they are manifestation of nyorai, and do his work in the world at large. In sculpture, two bosatsu often flank an image of this nyorai, forming a trinity. They are princely figures, with long tresses and jeweled ornaments, because they need to impress ordinary people with Buddha’s wisdom. Because bosatsu do the ‘leg work,’ they are commonly portrayed in active and standing poses.

The arrival of Buddhism in the mid-sixth century precipitated a profound cultural transformation in Japan. Places dedicated to the worship of Buddha were constructed, their architectural forms originating in China and Korea. Shotoku Taishi (573-621), the crown prince and regent during this seminal period, sought to use Buddhism as a unifying ideology transcending the individual clan. He attempted to entrench Buddhism alongside Shinto as a pillar of Japanese belief system. He built the first true Buddhist temples in Japan. These temples also served as powerful magic to cure ailments more physical than spiritual. One such temple was Horyu-ji (法隆寺) which was built in the south of Nara in 607.

Horyu-ji is regarded as the cradle of Japanese Buddhism. In fact, there are other temples older and more important than Horyu-ji, such as Gango-ji in Asuka and Shitenno-ji in Osaka, but none of their original building has survived. It contains the oldest surviving wooden structures in the world. The exceptional works of arts, including ancient images of Buddha, are housed here.

Horyu-ji has a famous Shaka trinity. This sitting Shaka has his right hand raised in a ‘do not fear’ mudra, with his left palm extended downward to the worshipper in the attitude of giving a sermon. However, Shaka is often shown standing. His two bostasu attendants are usually Monju, who rides a lion, and Fugen, who rides an elephant.

Horyu-ji’ pagoda, which is one of Horyu-ji’s oldest building and the oldest one of its kind in Japan, houses a famous sculpted scene showing a prostrate, dying Shaka, surrounded by grieving disciples.

Horyu-ji was dedicated to Yakushi(薬師), the nyorai of healing, to fulfill a vow made by Shotoku when his imperial sire became gravely ill. Yakushi also holds his right hand in a gesture of ‘do not fear’. His left hand usually holds a medicine jar; sometimes, instead he is seated on a rectangular dais, representing a medicine chest. He also often has seven little nyorai in his halo (for his seven manifestations) and is generally flanked by two bosatsu, Nikko(日光) and Gakko(月光)(Sunlight and Moonlight). He is also often surrounded by the Twelve Divine Generals, who are associated with the animals of the Chinese zodiac.

Horyu-ji also houses thousands of small Miroku(弥勒) who is a follower of Shaka, Miroku is promised to appear as a nyorai billions of years in the future to save all beings. He is portrayed as a youth sitting with one leg crossed over the other, a hand resting lightly on his cheek, deep in thought.

The ancient Yamato temples, for example, 法隆寺, 四天王寺, and 薬師寺are strikingly different from temples elsewhere in Japan. These early temples convey openness, grandeur, and clarity of plan. They are also rather stark, without that organic luxuriance that makes later temples, such as those in Kyoto so pleasant to roam. These early temples were built as divine worlds, where neither man nor nature impinges upon and ideal of perfection. Though it is often said the Japanese have an innate preference for asymmetry, these temples are symmetrical, in strict accordance with the Chinese pattern. The temple layout is called the Shichi-do garan (七堂伽藍), or temple court with seven halls- pagoda (塔), main hall (金堂or本堂), lecture hall (講堂), drum and bell tower (鼓楼or 鐘楼), sutra repository (経蔵), dormitories (僧房), dining hall (食堂). The temples in early Nara sects were laid out in flat, open areas, but were no more access for it; surrounded by cloisters, they were off limits to ordinary people who at that time knew little about Buddhism anyway.

Many deities which are ranked in the Ten (deva) category were also absorbed into Japan. They were appointed ‘defenders of the faith.’ From the very beginning of Japanese Buddhism Ten were placed as guardians around a temple’s principle image.

Nio(仁王): Two important Hindu deities which are known in Japan as Bon-Ten. They are half-naked musclemen who guard the temple gates. One opens his mouth to pronounce ah, the other closes it for un (the first and the last letter of Sanskrit alphabet). These two sounds are alpha and Omega in Sanskrit alphabet, and thus represent eternity and completeness. The two famous pair of Nio called Taishaku-ten(帝釈天)are guarding the Todai-ji’s Hokke-do hall and the Refectory of Toshodai-ji.

Shi-tenno(四天王): these four heavenly kings stand at the floor corners around the main image, guarding the cardinal directions. The most important is 毘沙門天guarding of the north (the dangerous direction) and holding a pagoda in his palm. The Shi-tenno usually stomp demons underfoot.
The important Yamato temples in early Nara period are Horyu-ji法隆寺, yakushi-ji薬師寺 Toshodai-ji, 東大寺, 元興寺(Gango-ji), and kofuku-ji興福寺.

To be continued
つづく

Saturday, December 10, 2005

A must-read article from the Financial Times (不读不可这个金融时报的文章)

Thaksin's Thailand

Thaksin Shinawatra, the tycoon and Thai prime minister who prides himself on his decisive, "CEO-style" of government, was happy to bask in public adulation when times were good. Now that he is faced with a more sluggish economy and a host of political challenges, he has become curiously shy, resorting to astrological excuses about the inauspicious alignment of the planet Mercury to explain his low profile.

Mr Thaksin needs to get a grip - not on his country, which he has already tried to do with authoritarian measures to sideline his opponents and curb press freedom - but on himself.

It is no surprise that Mr Thaksin is shocked by the sudden decline in his political fortunes. Less than a year ago, he led his Thai Rak Thai (Thais Love Thais) party to an overwhelming election victory and began a second term of office, an unprecedented achievement for an elected Thai prime minister. Today, his opinion poll ratings are sharply lower. He faces a fledgling "yellow revolution" in the form of public protests by middle-class Thais, who have been galvanised by Sondhi Limthongkul, a media magnate and disaffected former ally of Mr Thaksin.

These challenges are not the result of bad luck, and they were not written in the stars. They are a demonstration of the inbuilt weakness of populist, authoritarian leadership: it works well when there is plenty of gravy to dole out to supporters - Mr Thaksin first took power as Thailand was recovering from the 1997-98 financial crisis - but the government rapidly loses legitimacy if the gravy stops flowing.

Mr Thaksin has goaded the middle class into protests by stifling the liberal media and failing to fulfil his promise to fight corruption. His hardline approach to Muslim militants in the south has alienated Muslims and done nothing to end the violence there. King Bhumibol Adulyadej made a rare intervention in politics this week and obliged Mr Thaksin to drop an array of lawsuits against Mr Sondhi.

Government plans to boost the economy by spending more than $40bn (£23bn) on infrastructure in the next four years have been hobbled by a shortage of funds, a problem worsened by last month's court order suspending the partial privatisation of Egat, the state electricity generating company. Some economists say real economic growth may stick at a modest 4-5 per cent annually over the next few years in the absence of an economic liberalisation programme more ambitious than Mr Thaksin seems ready to adopt.

Mr Thaksin need not despair. He has a strong mandate as elected prime minister. Although Mr Sondhi has called a big rally in Bangkok for tomorrow, he is not the obvious focus for a popular opposition movement strong enough to oust the government. The going may be tough, but Mr Thaksin's job is to lead as vigorously in hard times as he did in happier days. That is what chief executives are paid to do.

Published: December 8 2005 02:00 | Last updated: December 8 2005 02:00